► 9 ต้นไม้มงคล แต่งบ้านสวย เสริมดวง

พลูด่าง
ไม้ประดับที่เรานิยมปลูกกันในบ้านอยู่แล้ว เพราะไม่ต้องการแสงแดดเยอะ ทั้งยังเลี้ยงง่ายไม่ว่าจะปลูกในน้ำหรือดิน นอกจากจะช่วยดูดซับสารพิษในอากาศได้ดี ยังช่วยเสริมสิริมงคลให้แก่ผู้ปลูกอีกด้วย ตามความเชื่อบอกว่าหากนำมาวางบริเวณโต๊ะทำงาน จะช่วยเสริมเรื่องการทำงานอย่างราบรื่น ไม่ติดขัด และทำให้อยู่เย็นเป็นสุข

กล้วยไม้
เป็นไม้ประดับที่มีสีสันสวยงาม และหลากหลายพันธุ์ให้เลือก ทั้งยังดูแลง่าย ซึ่งตามความเชื่อบอกว่ากล้วยไม้เป็นไม้มหาเสน่ห์ ที่ส่งเสริมเรื่องความเมตตากรุณา ช่วยสร้างความประทับใจแก่บุคคลทั่วไป และทำให้คนในบ้านมีจริยธรรมอีกด้วย

โกสน
ต้นโกสนเป็นไม้ยืนต้น สีสันสวยแปลกตา และยังช่วยเสริมความเป็นสิริมงคลอีกด้วย เพราะมีชื่อพ้องกับคำว่า ‘กุศล’ ซึ่งหมายถึงการสร้างบุญ ถ้านำมาปลูกไว้ในบ้านจะทำให้ครอบครัวมีความสงบสุข ร่มเย็น ปราศจากความขัดแย้ง

บอนสี
ไม้มงคลที่คนไทยนิยมปลูกกันมานานแล้ว อาจจะดูแลยากสักหน่อยแต่ด้วยรูปทรง สีสัน และความเชื่อที่บอกว่าหากปลูกไว้บริเวณบ้านจะส่งเสริมความสุข ความเจริญ และสมหวังแก่เจ้าของบ้าน หลายคนจึงเลือกที่จะนำพืชชนิดนี้มาประดับบ้านและดูแลเป็นอย่างดี

เศรษฐีพันล้าน
พืชอวบน้ำใบนุ่มนิ่ม ที่เชื่อกันว่าบ้านไหนที่ปลูกต้นเศรษฐีพันล้านนี้ จะช่วยเรื่องความเป็นสิริมงคลในครัวเรือน เสริมโชคลาภ และค้าขายร่ำรวย เป็นไม้ที่เลี้ยงดูง่าย ชอบแดดรำไร เหมาะแก่การปลูกประดับบ้านหรือที่ทำงานเพื่อเสริมความมงคล

โป๊ยเซียนแคระ
พืชตระกูลเดียวกับโป๊ยเซียนต้นใหญ่ที่คนไทยเคยนิยมปลูกกันไว้หน้าบ้าน แต่มาในไซซ์เล็กน่ารัก สามารถวางประดับไว้บนโต๊ะทำงานได้ นอกจากจะเลี้ยงง่ายแล้ว ยังมีความเชื่อว่าโป๊ยเซียนเป็นต้นไม้ของเทพเจ้าทั้ง 8 ซึ่งถ้าเลี้ยงจนออกดอกได้ 8 ดอกขึ้นไป จะทำให้มีโชคลาภ อยู่เย็นเป็นสุขมากขึ้น

กวักมรกต
กวักมรกตเป็นไม้ประดับเลี้ยงง่ายตายยาก เหมาะสำหรับนักปลูกมือใหม่ ทั้งช่วยกรองอากาศ ดูดซับสารพิษ ตามความเชื่อบอกว่าจะช่วยกวักเงินกวักทองเข้ามาเหมือนกับชื่อนั่นเอง และถ้าปลูกจนมีดอกให้เห็น จะยิ่งร่ำรวยมากขึ้นไปอีกเชียวล่ะ

ไผ่กวนอิม
พันธุ์ไม้ยืนต้นที่มีลำต้นกลมและเป็นข้อ ขนาดไม่ใหญ่เทอะทะ ดูแลง่าย นิยมเอามาปลูกตกแต่งบ้านและเสริมฮวงจุ้ย หากนำมาประดับโต๊ะทำงานก็จะช่วยเสริมโชคลาภ นำพาเงินทองมาสู่เจ้าของ ตามความเชื่อยังบอกอีกว่าถ้าปลูกไผ่กวนอิมจำนวน 2 ต้น จะส่งเสริมเรื่องความรักและชีวิตคู่ด้วยนะ

ข้อมูลจาก
https://www.dnmtrades.com
https://www.thairath.co.th
https://chiangmaigardens.com
https://tonkit360.com

https://www.timeout.com

► 5 ท่า ออกกำลังกาย ลดพุง ทำหน้าท้อง ให้แบนราบ

1.ท่า Mountain climber ท่านี้คนที่เคยปีนเขาอยู่แล้วคงจะคุ้นเคยดี เพียงแต่เปลี่ยนการปีนเขาแนวตั้งมาเป็นแนวราบแทน ซึ่งการบริหารท่านี้ช่วยบริหาร หน้าท้องส่วนล่างโดยเฉพาะ และช่วยตรงบริเวณต้นขาด้วย สำหรับการฝึกนั้นให้คุณทำทั้งหมด 3 เซต โดยเริ่มต้นทำท่าเหมือนจะวิดพื้น เกร็งหน้าท้องแล้วเอาเข่าขวาดึงเข้ามากลางตัว ขณะที่ตัวต้องตรงตลอด สลับด้านซ้ายเข้ามาเหมือนที่ทำด้านขวา สลับกันไปมา ขณะที่คุณดึงขาเข้ามาให้พยายามเหวี่ยงขานั้นไปฝั่งตรงข้าม จะรู้สึกต้านๆ หน่อย และทำการบิดตัวที่ท้องด้านข้าง 10 -15 ครั้งต่อเซต

2.ท่า Hip Lift ท่านี้เหมาะสำหรับการบริหารหน้าท้อง เพื่อลดพุงตรงบริเวณหน้าท้องด้านล่าง ต้นขา และบริเวณสะโพกพร้อมกัน สำหรับการฝึกนั้น เริ่มด้วยการนอนหงาย เอามือทั้งสองข้างวางชิดลำตัว ขาทั้งทั้งข้างชิดกัน จากนั้นให้ยกขาทั้งสองข้างตั้งขึ้นด้าน แล้วยกสะโพกให้ลอยขึ้นจากพื้น ค้างไว้เป็นเวลา 3 วินาที แล้วคุณค่อยวางสะโพกลง ทำ 10 ครั้ง ทั้งหมด 3 เซต

3.ท่า V Upsท่านี้มีคล้ายกับท่าเรือในการเล่นโยคะ แตกต่างกันที่ ท่านี้ให้คุณทำขึ้นลง ไม่ต้องค้างท่าไว้นานเหมือนโยคะ ท่านี้จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องส่วนบน ส่วนกลาง และส่วนล่าง ไปพร้อมๆ ขั้นตอนการฝึก เริ่มจากนอนหงายราบกับพื้น มือทั้งสองวางที่เหนือศรีษะ ให้ต้นแขนแนบที่หู ขาทั้งสองข้างเหยียดตรง แล้วค่อยๆ ยกตัวและขาขึ้นให้เป้นรูปตัววี แล้ววางตัวลงนอนราบท่าเตรียมเหมือนเดิม ให้คุณทำ 10 ครั้งต่อเซต ทั้งหมด 3 เซต

4.ท่า Plank เป็นอีกท่าหนึ่งที่ช่วยลดพุงและหน้าท้องได้ดี เพราะเป็นการบริหารร่างกายทุกส่วน โดยเฉพาะตรงแกนกลางลำตัว ทำให้ทุกส่วนของร่างกายแข็งแรง และได้กล้ามเนื้อด้วย ขั้นแรกให้คุณนอนคว่ำก่อน แขนแนบลำตัว แล้วเอาศอกตั้งขึ้นฉาก เหยียดเท้าให้ตรง แล้วยันตัวของคุณให้พ้นจากพื้น โดยให้ตรงหลังและเข้าเหยียดตรง ค้างไว้ 30 วินาที หรือหากทำมาสักระยะหนึ่งแล้วค่อยๆ ขยับจาก 30 วินาทีเป็นหนึ่งนาทีหรือเวลามากว่านั้นก็ได้

5.ท่า Crunches เป็นท่าที่ลดพุงได้ดีอีกท่า คล้ายกับการเล่นซิตอัพ แต่เป็นการยกตัวแค่ช่วงบน เพื่อให้หน้าท้องแข็งแรงพุงยุบ ท่านี้นอนหงานราบกับพื้นก่อน มือประสานกันที่ท้ายทอยวางใต้ศรีษะ แล้วชันเข่า ให้คุณยกมือและศรีษะขึ้นพร้อมกัน เกร็งหน้าท้อง แล้วค่อยวางตัวราบท่าเตรียมทำ 3 เซตๆ ละ 10 ครั้ง

ข้อมูลจาก : howtoeasy

► 10 สถานที่ท่องเที่ยวเกี่ยวกับหินในไทย ที่ธรรมชาติรังสรรค์อย่างลงตัว

-มอหินขาว จังหวัดชัยภูมิ
“มอหินขาว” หรือสโตนเฮนจ์เมืองไทย กลุ่มเสาหินทรายสีขาวขนาดใหญ่ ตั้งโดดเด่นบนลานหญ้ากว้างบริเวณเนินเขา ภายในอุทยานแห่งชาติภูแลนคา เกิดจากการสะสมของตะกอนทรายแป้งและดินเหนียวจากทางน้ำ เมื่อมีความเปลี่ยนแปลงของแผ่นเปลือกโลกเมื่อ 65 ล้านปีก่อน ทำให้มีการแตกหัก ผุพัง และการกัดเซาะ จนกลายเป็นเสาหินสูงใหญ่ 5 เสา รูปทรงประหลาดบนเนินเขาอย่างที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน

-สามพันโบก จังหวัดอุบลราชธานี
แลนด์มาร์กชื่อดังของจังหวัดอุบลราชธานี เจ้าของฉายา “แกรนด์แคนยอนเมืองไทย” ที่จะโผล่มาให้ได้ยลโฉมเพียงแค่ช่วงระยะเวลาฤดูแล้งที่แม่น้ำโขงลดลงเท่านั้น เกิดจากการกัดเซาะของแรงน้ำวน เมื่อนับดูแล้วมีจำนวนมากกว่า 3,000 แอ่ง ซึ่งคำว่า “แอ่ง” ในภาษาท้องถิ่นจะเรียกว่า “โบก” จึงเป็นที่มาของคำว่า “สามพันโบก” นั่นเอง

-แพะเมืองผี จังหวัดแพร่
แหล่งเรียนรู้ทางธรณีวิทยาที่สำคัญของจังหวัดแพร่ ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่เกิดจากการทับถมกันของดินตะกอนแม่น้ำนานนับล้านปี โดยลักษณะการเกิดของเสาหิน เกิดจากกรวด หิน ดิน ทราย เกาะจับตัวกัน ยังไม่แน่นแข็งเต็มที่ ประกอบด้วยชั้นหินทรายละเอียดและชั้นหินทรายสลับกันเป็นชั้น ๆ แต่ละชั้นมีความต้านทานต่อการผุพังไม่เท่ากัน เมื่อถูกน้ำฝนชะซึมชั้นหินที่มีความต้านทานต่อการผุพังน้อยกว่าก็จะถูกชะล้าง กัดกร่อน เหลือชั้นที่มีความต้านทานต่อการผุพังมากกว่า ส่วนที่เหลือจึงเกิดเป็นแท่ง เป็นหย่อม และมีรูปร่างแตกต่างกันออกไปดังเช่นปัจจุบัน

-ละลุ จังหวัดสระแก้ว
“ละลุ” ในภาษาเขมร แปลว่า “ทะลุ” ที่นี่เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดจากน้ำฝนกัดเซาะ ยุบตัว หรือพังทลายของดิน เนื่องจากสภาพดินแข็งจะคงอยู่ไม่ยุบตัว เมื่อถูกลมกัดกร่อนจึงมีลักษณะเป็นรูปต่างๆ มองคล้ายกำแพงเมือง หน้าผา บ้างมีลักษณะเป็นแท่งๆ

-คลองหินดำ จังหวัดชุมพร
แกรนด์แคนยอนแห่งชุมพร มีลักษณะเป็นแนวกำแพงหินทั้งสองข้างที่เกิดจากการกัดเซาะของลำธารมายาวนาน จนเกิดเป็นลำธารที่มีความกว้างประมาณ 5-10 เมตร ไหลผ่านรอยแยกของหิน ในลักษณะลัดเลาะคดเคี้ยวไป-มา ระยะทางยาวมากกว่า 1 กิโลเมตร และมีแก่งหินสูงมากกว่า 3-5 เมตร โดยรอบมีต้นไม้หายากน้อยใหญ่ตั้งอยู่มากมาย บรรยากาศร่มรื่น ซึ่งในช่วงฤดูน้ำลดสามารถลงเล่นน้ำได้

-กองแลน จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ฉายา “ปายแคนยอน” เพราะธรรมชาติได้สร้างความมหัศจรรย์ให้เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ มีลักษณะเป็นภูเขาหินรูปร่างต่าง ๆ ที่เกิดจากการยุบตัวของภูมิประเทศ บางส่วนยุบมากก็กลายเป็นเหวลึก และบางส่วนก็กลายเป็นแนวสันเขาที่มีความกว้างพอให้คนเดินได้ ที่นี่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบความสนุกสนาน ตื่นเต้นจากการเดินเลียบเลาะวนรอบเขา

-ผาช่อ จังหวัดเชียงใหม่
มีลักษณะเป็นหน้าผาหินตกตะกอน สูงประมาณ 30 เมตร กว้างราว ๆ 100 เมตร ที่ตัวหน้าผามีลวดลายลักษณะที่สวยงามแปลกตา มีริ้วลายของหินคล้ายกับผ้าม่าน สันนิษฐานว่าบริเวณนี้เคยเป็นแม่น้ำปิงมาก่อน ต่อมาธรณีแปรสัณฐาน และได้ดันชั้นตะกอนบริเวณขอบแอ่งของแม่น้ำ ซึ่งเป็นตะกอนในยุคเทอร์เชียรี มีอายุประมาณ 5 ล้านปี ขึ้นมา เมื่อโดนทั้งลม ฝน ฯลฯ กัดเซาะจึงกลายเป็นลวดลายที่สวยงามอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ซึ่งยังคงทิ้งร่องรอยการกัดเซาะจนกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่น่าตื่นตาตื่นใจ

-ลานหินปุ่ม – ลานหินแตก (ภูหินร่องกล้า) จังหวัดพิษณุโลก
ลานหินปุ่ม : อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานประมาณ 4 กิโลเมตร อยู่ริมหน้าผาลักษณะเป็นลานหินผุดขึ้นเป็นปุ่มไล่เลี่ยกัน สูงประมาณ 1 ฟุต เกิดจากการสึกกร่อนตามธรรมชาติของหินทางเคมีและฟิสิกส์ ประกอบกับการขัดเกลาของกระแสลมและสายฝน


ลานหินแตก : อยู่ห่างจากฐานพัชรินทร์ ประมาณ 300 เมตร มีลักษณะเป็นหินที่มีรอยแตกเป็นแนวเป็นร่องเหมือนแผ่นดินแยก สันนิษฐานว่าอาจจะเกิดจากการโก่งตัวหรือเคลื่อนตัวของผิวโลก

-เกาะหินงาม จังหวัดสตูล
เกาะเล็ก ๆ กลางทะเลอันดามัน ตั้งทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะอาดัง ไกลออกไปประมาณ 2.5 กิโลเมตร ความโดดเด่น คือ ชายหาดที่ทรายถูกแทนที่ด้วยก้อนหินสีดำเงางามสุดลูกหูลูกตา ก้อนหินกลมเกลี้ยงเนียนเรียบ ลวดลายสวยงาม ขนาดเล็ก-ใหญ่แตกต่างกันไป

-หินสามวาฬ (ภูสิงห์) จังหวัดบึงกาฬ
Unseen จังหวัดบึงกาฬที่หลายคนอยากไปเยือนสักครั้ง ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อนุรักษ์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงดิบกะลา ป่าภูสิงห์ และป่าดงสีชมพู มีลักษณะเป็นหินขนาดใหญ่ติดหน้าผาสูง แยกตัวเป็น 3 ก้อน มีอายุประมาณ 75 ล้านปี หนึ่งเดียวของโลก เมื่อมองดูจากระยะไกล หิน 3 ก้อนนี้จะดูคล้ายกับฝูงครอบครัววาฬ

ข้อมูลจาก
https://travel.kapook.com/view221049.html
https://www.tripniceday.com
https://www.museumthailand.com
https://www.isangate.com
https://cbtthailand.dasta.or.th
https://www.siameagle.com
https://www.sscarrent.com

► 9 ซุ้มหินธรรมชาติ สวยงามระดับโลก

-El Arco de Cabo San Lucas ประเทศเม็กซิโก
ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของคาบสมุทรบาจา แคลิฟอร์เนีย ในประเทศเม็กซิโก ความงดงามอยู่ที่หินแกรนิตความสูงกว่า 200 ฟุต ที่ถูกน้ำทะเลกัดเซาะเป็นแนวโค้งที่สวยงามราวกับว่าเป็นอุโมงค์ในท้องทะเลเลย เป็นจุดดึงดูดให้นักท่องเที่ยวแวะเวียนกันมาดำน้ำ พายเรือคายัก เล่นเจ็ตสกี รวมถึงชมความงดงามในยามที่พระอาทิตย์ใกล้ตก

-The Rock of Raouche ประเทศเลบานอน
มีลักษณะเป็นผาหินยักษ์ที่หันหน้าเข้าหากันและตั้งตระหง่านอยู่ริมทะเล จึงดูคล้ายกับยามรักษาการณ์ที่คอยสอดส่องผู้มาเยือนอย่างไรอย่างนั้นเลย โดยส่วนใหญ่ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวนิยมมาเดินริมแนวผาเพื่อสัมผัสลมทะเลเย็นๆ และวิวสวยๆ ของโค้งใต้ผาหิน ในช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตก

-Cathedral Cove ประเทศนิวซีแลนด์
ตั้งอยู่บนชายหาดบริเวณคาบสมุทรโคโรแมนเดล ในประเทศนิวซีแลนด์ ได้รับการขนานนามว่าเป็นโค้งหินที่ศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากมีขนาดใหญ่มหึมาบวกกับบรรยากาศอันเงียบสงบ ชายหาดสวยงามและสะอาดตา นักท่องเที่ยวจึงนิยมมาดื่มด่ำกับความงามที่ธรรมชาติสร้างสรรค์

-London Arch ประเทศออสเตรเลีย
แม้จะมีชื่อว่า London Arch แต่ไม่ได้อยู่ในประเทศอังกฤษ แต่ตั้งอยู่ที่อุทยานแห่งชาติพอร์ต แคมป์เบล (Port Campbell National Park) ในวิกตอเรียของประเทศออสเตรเลีย สาเหตุที่ตั้งชื่อว่า London Arch ก็เพราะผาหินดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกับสะพานลอนดอนหรือสะพานข้ามแม่น้ำเทมส์ แต่เป็นที่น่าเสียดายไม่น้อยที่บางส่วนถูกน้ำกัดเซาะจนพังเหลือไว้เพียงผาหินที่ตั้งโดดเดี่ยวอยู่ริมทะเลอย่างทุกวันนี้

-Durdle Door สหราชอาณาจักร
อีกหนึ่งโค้งหินสวยแปลกตาที่ตั้งอยู่ใกลกับมณฑลดอร์เซต (Dorset) ของประเทศอังกฤษ ด้วยรูปทรงที่ต่างจากแนวโค้งหินอื่นจึงทำให้ถูกจินตนาการไปต่าง ๆ นานา ว่าคล้ายสัตว์ที่กำลังก้มหน้าไปดื่มน้ำทะเล บ้างก็ว่าคล้ายกับไดโนเสาร์ เนื่องจากว่าชายฝั่งซึ่งเป็นที่ตั้งของ Durdle Door ถูกเรียกว่า Jurassic Coast หรือชายฝั่งไดโนเสาร์ ซึ่งเป็นเหตุมาจากการพบซากฟอสซิลไดโนเสาร์บริเวณนี้เป็นจำนวนมาก

-Pont d’Arc ประเทศฝรั่งเศส
ซุ้มหิน Pont d’Arc ถือเป็นอีกหนึ่งสีสันความสวยงามที่ธรรมชาติสร้าง ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นที่ซึ่งถูกเรียกว่า Vallon-Pont-d’Arc ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องความงดงามของหินปูนที่ถูกกัดเซาะโดยแม่น้ำ Ardeche อีกทั้งยังเป็นเหมือนซุ้มหินยักษ์ที่นักท่องเที่ยวต้องลอดข้ามหากต้องการไปยังอีกฝั่งโดยไม่มีทางเลือกอื่น

-Double Arch สหรัฐอเมริกา
ว่ากันว่าซุ้มหินธรรมชาติในสหรัฐอเมริกามีมากกว่าที่อื่น ๆ โดยเฉพาะในอุทยานแห่งชาติ Arches National Park ที่มีซุ้มหิน Double Arch ซึ่งถูกน้ำกัดเซาะจนกลายเป็นซุ้มหินขนาดใหญ่ ถ้ายังจำกันได้กับภาพยนตร์เรื่องอินเดียน่า โจนส์ ตอนศึกอภินิหารครูเสด คุณจะพบว่า Double Arch ถูกใช้เป็นฉากเปิดตัวของภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย เรียกว่าสวยงามแล้วยังมีเรื่องราวอันน่าสนใจด้วย

-The Azure Window ประเทศมอลตา
ใครที่ต้องการไปสัมผัสกับความสวยงามของซุ้มหิน The Azure Window ที่ประเทศมอลตา ก็คงต้องรีบกันหน่อย เพราะยิ่งกาลเวลาผ่านไปนานเท่าไรก็ยิ่งถูกกัดเซาะด้วยน้ำทะเลมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่ารูปร่างและรูปทรงของซุ้มหินก็ต้องเปลี่ยนตามไปด้วย จุดเด่นของ The Azure Window อยู่ที่องค์ประกอบรอบด้านที่ล้อมรอบ ทั้งน้ำทะเลสีครามและผาหินอื่นๆ รอบด้านที่รวมอยู่ด้วยกันซึ่งทำให้ภาพออกมาสวยงามและลงตัวยิ่งขึ้น

-Shipton’s Arch ประเทศจีน
ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือในมณฑล Kashgar ในเขตการปกครองซินเจียงอุยกูร์ ถูกค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 1947 โดย Eric Shipton นักไต่เขาชาวอังกฤษ เป็นที่มาของชื่อซุ้มหิน Shipton’s Arch นอกจากนี้ยังเป็นซุ้มหินธรรมชาติที่สูงที่สุดในโลก แม้จะไม่มีทะเลล้อมรอบเหมือนซุ้มหินที่อื่น ๆ แต่การได้อยู่ท่ามกลางขุนเขาและเมฆหมอกบาง ๆ ก็ถือเป็นอีกมุมสุดโรแมนติ

ข้อมูลจาก https://travel.kapook.com/view94559.html

► ทอมัส เอดิสัน ผู้ประดิษฐ์หลอดไฟ

โทมัส อัลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison) เป็นนักประดิษฐ์คนสำคัญของโลก ผลงานของเขาได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนให้เป็นสังคมสมัยใหม่ ส่วนใหญ่ผู้คนมักจะรู้จักเอดิสันในฐานะผู้ประดิษฐ์หลอดไฟ แต่ที่จริงแล้วผลงานการประดิษฐ์ของเขามีมากมายเหลือเชื่อ เช่น เครื่องบันทึกเสียง กล้องถ่ายภาพยนตร์ เครื่องเล่นจานเสียง แบตเตอรี่ และเครื่องมือเครื่องใช้เทคโนโลยีอื่นอีกเป็นพันชิ้น เอดิสันเป็นเจ้าของสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์มากถึง 1,093 ชิ้น นอกจากนี้เขายังเป็นนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จ เอดิสันเป็นเจ้าของบริษัทที่มีชื่อเขาเป็นชื่อบริษัทถึง 13 บริษัท รวมทั้งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเจเนอรัลอิเล็กทริก (General Electric Company) หรือ GE บริษัทมหาชนด้านไฟฟ้าขนาดใหญ่ของโลก เอดิสันเป็นตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จด้วยความอุตสาหะขยันหมั่นเพียร และได้รับการยกย่องให้เป็นสุดยอดนักประดิษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลก

เด็กขายของบนรถไฟผู้รักการทดลอง

เอดิสัน เป็นชาวอเมริกา เกิดเมื่อปี 1847 ที่เมืองมิลาน รัฐโอไฮโอ ตอนเด็กเขาเป็นโรคผื่นแดงและติดเชื้อในหูทำให้มีปัญหาการได้ยินทั้งสองข้างจนเกือบเป็นคนหูหนวก พอมีอายุได้ 7 ปีครอบครัวของเอดิสันที่ธุรกิจซบเซาได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองพอร์ตฮูรอน รัฐมิชิแกน เขามีโอกาสเรียนหนังสือในโรงเรียนเพียง 3 เดือน เนื่องจากเขาไม่สนใจเนื้อหาในตำราเรียน แต่ไปสนใจในสิ่งต่างๆรอบตัวที่ไม่มีในตำรา เขาจึงเป็นเด็กมีปัญหาในสายตาของคุณครู แม่ของเขาจึงให้ออกจากโรงเรียนและเธอเป็นผู้สอนหนังสือเขาเอง เอดิสันศึกษาด้วยตัวเองด้วยการอ่านหนังสือ เขาสนใจด้านวิทยาศาสตร์และชอบการทดลองเป็นพิเศษ พ่อแม่สนับสนุนเขาโดยสร้างห้องใต้ดินเพื่อให้เอดิสันได้ทำการทดลองต่างๆในหนังสือ และเขาก็ได้ทำการทดลองมากมายในห้องใต้ดินนั้น

ตอนมีอายุ 12 ปีเอดิสันได้งานทำเป็นเด็กขายของบนรถไฟที่วิ่งระหว่างเมืองพอร์ตฮูรอนและเมืองดีทรอยต์ เขาขายหนังสือพิมพ์ ลูกกวาดและผัก เอดิสันได้ใช้ตู้รถไฟตู้หนึ่งเป็นที่พัก เก็บสารเคมี และหนังสือเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เขามักใช้เวลาว่างส่วนใหญ่อยู่ในห้องพักเพื่ออ่านหนังสือ และทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เมื่อเอดิสันทำงานเก็บเงินได้จำนวนหนึ่ง เขานำเงินไปซื้อแท่นพิมพ์เล็กๆเครื่องหนึ่ง และผลิตหนังสือพิมพ์ที่มีเขาเป็นเจ้าของบรรณาธิการ นักเขียน และพนักงานขาย ชื่อว่า Grand Trank Herald ซึ่งขายดีทีเดียว เอดิสันนำเงินกำไรที่ได้ไปซื้ออุปกรณ์ในการทดลองวิทยาศาสตร์ สารเคมี และหนังสือวิทยาศาสตร์ แต่วันหนึ่งเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ขณะที่เขากำลังทำการทดลองรถไฟเกิดกระชากอย่างแรงทำให้แท่งฟอสฟอรัสตกกระแทกพื้น แล้วเกิดระเบิดอย่างแรง ทำให้ไฟไหม้ตู้รถไฟของเขา ถึงจะเกิดความเสียหายไม่มากนักแต่เขาถูกคนคุมขบวนรถไฟตบเข้าที่หูจนหูแทบพิการ พร้อมกับถูกไล่ออกจากงาน

มุ่งสู่เส้นทางของนักประดิษฐ์

ชะตาชีวิตลิขิตทางเดินของคน วันหนึ่งเอดิสันได้ช่วยชีวิตเด็ก 3 ขวบจากการถูกรถไฟทับ เผอิญเด็กคนนั้นเป็นลูกชายของนายสถานีรถไฟ เขาได้ตอบแทนเอดิสันด้วยการสอนวิธีการส่งโทรเลขจนชำนาญ ทำให้เขาได้งานเป็นคนส่งโทรเลขอยู่นานหลายปี พอมีเวลาว่างเอดิสันก็จะศึกษาและทดลองทางวิทยาศาสตร์เพิ่มเติม โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีโทรเลข จนเขามีความรู้ทางวิศวกรรมไฟฟ้าเป็นอย่างดี

ปี 1866 ขณะอายุ 19 ปี เอดิสันย้ายไปอยู่ที่เมืองลุยส์วิลล์ รัฐเคนทักกี ทำงานเป็นพนักงานของบริษัท Western Union อยู่ในสำนักข่าว เขาเลือกทำงานกะกลางคืนเพื่อให้มีเวลาเต็มที่สำหรับการศึกษาและการทดลองที่เขาชอบ และมันก็สร้างปัญหาให้กับเขาอีกครั้งจนได้ คืนหนึ่งในปี 1867 เขาทดลองเกี่ยวกับแบตเตอรี่ แล้วทำน้ำกรดหกใส่พื้น มันไหลลงไปที่โต๊ะเจ้านายข้างล่าง วันรุ่งขึ้นเขาถูกไล่ออก เอดิสันจึงต้องพบกับความลำบากไม่มีเงินและไม่มีงานทำ ยังดีที่เพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งที่เป็นนักประดิษฐ์ชื่อ Franklin Leonard Pope ให้เขาไปพักและทำงานอยู่ในห้องใต้ดินที่บ้านของเขา ปี 1869 เอดิสันในวัย 22 ปีย้ายไปอยู่ที่นิวยอร์ก และประสบความสำเร็จกับสิ่งประดิษฐ์ชิ้นแรกคือเครื่องพิมพ์ข้อมูลราคาหุ้นซึ่งขายลิขสิทธิ์ได้เงินมากพอสมควร และทำให้เขาตัดสินใจเลิกทำงานอย่างอื่นมุ่งหน้าเป็นนักประดิษฐ์อย่างเต็มตัว

เปลี่ยนโลกด้วยผลงานประดิษฐ์หลอดไฟ

ปี 1878 เอดิสันศึกษาค้นคว้าเพื่อประดิษฐ์หลอดไฟซึ่งเขาหวังจะนำมาแข่งกับตะเกียงแก๊สและตะเกียงน้ำมัน เริ่มจากหาวิธีสร้างหลอดไส้ร้อน (incandescent lamp) ให้มีอายุการใช้งานนานขึ้น มีนักประดิษฐ์ในยุคนั้นจำนวนมากที่ได้พัฒนาหลอดไฟฟ้าแต่ไม่สามารถนำมาใช้งานได้เนื่องจากมีอายุใช้งานสั้นมาก มีราคาแพง และกินไฟมาก เอดิสันตระหนักดีว่าเขาต้องสร้างหลอดไฟที่ใช้กระแสไฟฟ้าต่ำและพยายามค้นหาตัวนำที่สามารถทนความร้อนได้สูง เอดิสันทดลองกับวัสดุต่างๆที่จะนำมาใช้เป็นไส้หลอดนับหมื่นชนิด และในปี 1879 เอดิสันก็พบว่าเมื่อนำเส้นใยที่ทำด้วยฝ้ายมาทำเป็นด้ายแล้วนำมาเผาไฟจะได้ถ่านคาร์บอนที่ทนความร้อนได้สูง จากนั้นจึงนำมาบรรจุไว้ในหลอดสูญญากาศ หลอดไฟของเอดิสันสามารถให้แสงสว่างได้นานถึง 40 ชั่วโมง เอดิสันได้จดสิทธิบัตรหลอดไฟไส้คาร์บอนและออกแบบสวิตช์เปิด-ปิดหลอดไฟให้ติดตั้งในบ้านเรือนได้ง่าย นับเป็นจุดเริ่มต้นของหลอดไฟบนโลกใบนี้ ปี 1880 เอดิสันเปลี่ยนไส้หลอดไฟจากคาร์บอนเป็นไม้ไผ่ญี่ปุ่นซึ่งสามารถส่องสว่างได้นานถึง 900 ชั่วโมง

เอดิสันไม่หยุดอยู่แค่เพียงการประดิษฐ์หลอดไฟ ปี 1882 เขาเดินทางกลับมานิวยอร์กอีกครั้งหนึ่งและได้ตั้งบริษัท Edison Electric Light Company เพื่อสร้างโรงจ่ายกระแสไฟฟ้า โดยการนำไดนาโมของไมเคิล ฟาราเดย์ (Michael Faraday) มาปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จากนั้นได้วางสายไฟฟ้าไปทั่วเมืองนิวยอร์ค ทำให้ทุกคนได้มีโอกาสได้ใช้ไฟฟ้ากันอย่างทั่วถึง นับว่าเอดิสันเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกกิจการไฟฟ้าในประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้เขายังสร้างเครื่องวัดกระแสไฟฟ้าและสายดินเพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าอีกด้วย กิจการของเอดิสันดำเนินไปได้ด้วยดีทั้งการขายหลอดไฟฟ้าและขายกระแสไฟฟ้า เอดิสันได้ปรับปรุงหลอดไฟให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปี 1883 เขาประดิษฐ์หลอดไฟรุ่นใหม่ที่ใช้ในครัวเรือนทั่วไปได้ ทำให้หลอดไฟแพร่กระจายไปตามจุดต่างๆของโลกเร็วขึ้น

สุดยอดนักประดิษฐ์ของโลก

ปี 1891 เขาประดิษฐ์เครื่องบันทึกภาพเคลื่อนไหวสำเร็จซึ่งนำไปสู่การสร้างภาพยนตร์ อีก 2 ปีต่อมาเอดิสันได้สร้างโรงถ่ายภาพยนตร์แห่งแรกของโลก ต่อมาเขาได้นำเครื่องบันทึกภาพเคลื่อนไหวมารวมกับเครื่องบันทึกเสียงซึ่งเขาเป็นคนประดิษฐ์เองกลายเป็นเครื่องถ่ายทำภาพยนตร์​ ปี 1898 เอดิสันเริ่มประดิษฐ์แบตเตอรี่ที่ทำจากนิกเกิลและเหล็กและทำสำเร็จในปี 1909 ใช้เวลานานถึง 11 ปี

นอกจากนี้เอดิสันยังมีผลงานสิ่งประดิษฐ์เทคโนโลยีอีกมาก เช่น เครื่องเล่นจานเสียง เครื่องขยายเสียง​ เครื่องอัดสำเนา และสิ่งประดิษฐ์อื่นๆอีกนับพันชิ้น เอดิสันเป็นนักประดิษฐ์ที่มีผลงานมากที่สุดในยุคนั้น เขามีสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ภายใต้ชื่อของเขาเป็นจำนวนถึง 1,093 ชิ้น แม้ส่วนใหญ่เขาไม่ได้เริ่มคิดค้นขึ้นมาเอง แต่เป็นการพัฒนาจากสิ่งประดิษฐ์ที่คิดค้นขึ้นโดยลูกจ้างของเขา เพราะเหตุนี้ทำให้เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องการอ้างผลงานเป็นของตัวเองแต่ผู้เดียวอยู่เสมอ

จากผลงานการประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้เทคโนโลยีอย่างมากมายเหลือเชื่อ เอดิสันจึงได้รับยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะในด้านนี้ แต่ตัวเขาเองกลับบอกว่าความสำเร็จของเขามาจากความพยายามมากกว่า วาทะเด็ดของเขาอย่างเช่น “อัจฉริยะเกิดจากแรงบันดาลใจเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ และอีก 99 เปอร์เซ็นต์คือความอุตสาหะ” หรือ “ผมไม่ได้ล้มเหลวนะ ผมเพิ่งจะพบ 10,000 วิธีที่มันใช้ไม่ได้” เป็นสิ่ง​ยืนยันได้เป็นอย่างดี

เอดิสันแต่งงานกับ Mary Stilwell ในปี 1871 มีลูกด้วยกัน 3 คน Mary เสียชีวิตตอนอายุยังน้อยด้วยโรคมะเร็งในสมองในปี 1884 ต่อมาในปี 1886 เอดิสันแต่งงานใหม่กับ Mina Miller มีลูก 3 คนเช่นกัน เอดิสันเสียชีวิตด้วยโรคเบาหวานในปี 1931 อายุรวม 84 ปี ส่วน Mina เสียชีวิตในปี 1947

เอดิสันเป็นตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จด้วยความอุตสาหะขยันหมั่นเพียร เขาได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ นิตยสารไลฟ์ได้ยกย่องให้เอดิสันเป็นหนึ่งใน “100 คนที่สำคัญที่สุดในช่วง 1,000 ปีที่ผ่านมา” เขาคือสุดยอดนักประดิษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลกตลอดกาล

► ไอแซก นิวตัน นักวิทยาศาสตร์ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

ไอแซก นิวตัน (Isaac Newton) เป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และฟิสิกส์ รวมทั้งยังเป็นนักเทววิทยาอีกด้วย ผลงานของนิวตันจัดว่าเป็นระดับ “สุดยอด” ของแต่ละสาขาวิชา เขาเป็นผู้คิดค้นวิชาแคลคูลัสที่เป็นคณิตศาสตร์ชั้นสูง เป็นผู้บัญญัติกฎการเคลื่อนที่ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญยิ่งของวิชาฟิสิกส์ เป็นผู้ค้นพบและสร้างกฎแรงโน้มถ่วงสากลอันเป็นแกนหลักของวิชาดาราศาสตร์ และยังมีผลงานอื่นอีกมากมาย นิวตันทำให้วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าอย่างมาก ผลงานของเขามีอิทธิพลต่อการเรียนรู้และพัฒนาการทางวิทยาศาสตร์ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมาจวบจนปัจจุบัน เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

เด็กกำพร้าแม่ทิ้งไต่เต้าจากเด็กเสิร์ฟจนเป็นศาสตราจารย์

นิวตันเป็นชาวอังกฤษเกิดที่หมู่บ้าน Woolsthorpe มณฑล Lincolnshire ในวันคริสต์มาสปี 1642 ปีเดียวกับที่กาลิเลโอเสียชีวิต ราวกับพระเจ้าได้ส่งอัจฉริยะคนใหม่มาสานต่อสิ่งที่กาลิเลโอริเริ่มไว้ให้สำเร็จลุล่วง พ่อของนิวตันเสียชีวิตก่อนเขาเกิด 3 เดือน เขาเป็นเด็กคลอดก่อนกำหนดตัวเล็กมากไม่มีผู้ใดคิดว่าจะรอดชีวิตได้ เมื่อนิวตันอายุได้ 3 ขวบมารดาของเขาแต่งงานใหม่และย้ายไปอยู่กับสามีใหม่ทิ้งเด็กน้อยให้อยู่กับยาย ช่วงอายุระหว่าง 12 – 17 ปีนิวตันได้เรียนหนังสือที่เมือง Grantham แต่ต้องออกมาทำฟาร์มที่เขาไม่ชอบเลยตามคำสั่งของแม่ที่กลายเป็นแม่หม้ายอีกครั้งอยู่ระยะหนึ่ง โชคของหนุ่มนิวตันยังดีที่อาจารย์ที่โรงเรียนของเขาสามารถเกลี้ยกล่อมแม่ให้ส่งเขากลับไปเรียนหนังสือได้สำเร็จ โอกาสของเขาจึงเริ่มดีขึ้น รวมทั้งผลการเรียนที่อยู่ระดับแถวหน้า

ปี 1661 นิวตันได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยตรีนิตี้ (Trinity College) มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เป็นนักศึกษาที่รับการช่วยเหลือทางการเงินจากวิทยาลัยแต่ต้องแลกกับการทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟและคนทำความสะอาดห้องพักอยู่ 3 ปีก่อนจะได้รับทุนการศึกษาจนกว่าจะจบปริญญาโท หลังจากเขาเรียนจบปริญญาตรีได้ไม่นานมหาวิทยาลัยต้องปิดชั่วคราวเนื่องจากเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ ทำให้เขาต้องกลับไปอยู่ที่บ้านที่ Woolsthorpe เป็นเวลา 2 ปี แต่กลับเป็นช่วงเวลานี้เองที่นิวตันได้พัฒนาทฤษฎีของเขาเกี่ยวกับแคลคูลัส ธรรมชาติของแสง และกฎแรงโน้มถ่วงได้อย่างมาก

ปี 1667 นิวตันกลับไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ได้รับเลือกให้เป็นนักวิจัยที่วิทยาลัยตรีนิตี้ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ต้องอุทิศตนถือบวชอันเป็นสิ่งที่นิวตันพยายามหลีกเลี่ยงเนื่องจากมุมมองที่ไม่เห็นด้วยกับฝ่ายศาสนา โชคดีที่ไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอนว่าต้องบวชเมื่อไรจึงอาจเลื่อนไปตลอดกาลก็ได้ แต่หลังจากที่เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นเมธีลูเคเชียน (Lucasian Professor) ซึ่งเป็นตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์อันทรงเกียรติที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ในปี 1669 เรื่องถือบวชจึงกลายเป็นเรื่องที่ตึงเครียดมากขึ้น นิวตันจัดการปัญหานี้ด้วยการขอยกเว้นสำหรับเขาเป็นกรณีพิเศษจากพระเจ้าชาลส์ที่ 2 และได้รับอนุญาต ความขัดแย้งระหว่างเขากับฝ่ายศาสนาจึงลดลงไป ปี 1672 นิวตันได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของราชสมาคมแห่งลอนดอน (Royal Society) ซึ่งเป็นสมาคมของนักปราชญ์ด้านวิทยาศาสตร์เก่าแก่ที่สุดที่ยังมีอยู่ถึงปัจจุบัน

สุดยอดนักคณิตศาตร์แห่งยุค

ผลงานด้านคณิตศาสตร์ของนิวตันถูกกล่าวขานว่าเป็น “ความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ในทุกสาขาของคณิตศาสตร์ยุคนั้น” เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้คิดค้นวิชาแคลคูลัสร่วมกับกอทท์ฟรีดไลบ์นิซนักคณิตศาสตร์คนสำคัญชาวเยอรมันผู้ตีพิมพ์เป็นหนังสือในปี 1684 แต่ก่อนหน้านั้นไอแซก นิวตันได้คิดวิธีคำนวณเพื่อใช้แก้ปัญหากลศาสตร์ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ซึ่งเขาเรียกว่า fluxion ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกับ calculus ของไลบ์นิซ เพียงแต่นิวตันไม่ได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือ แต่ได้สอดแทรกทั้งทฤษฎีและการประยุกต์ใช้ไว้ในหนังสือหลายเล่มที่พิมพ์ก่อนปี 1684 ทุกวันนี้นักประวัติศาสตร์คณิตศาสตร์ได้เห็นพ้องกันว่าไลบ์นิซและนิวตันสร้างแคลคูลัสขึ้นมาโดยไม่มีใครลอกเลียนใคร และนิวตันสร้างได้ก่อนไลบ์นิซประมาณ 10 ปี (แต่ไม่ตีพิมพ์) แต่สัญลักษณ์และเครื่องหมายของไลบ์นิซได้รับความนิยมมากกว่า

นิวตันเป็นผู้คิดค้นทฤษฎีบททวินามที่ใช้ได้สำหรับเลขยกกำลังใดๆ เขาเป็นผู้ค้นพบ Newton’s identities, Newton’s method, เส้นโค้งบนระนาบลูกบาศก์ (โพลีโนเมียลอันดับสามของตัวแปรสองตัว) เขามีส่วนอย่างสำคัญต่อทฤษฎี finite differences และเป็นคนแรกที่ใช้เศษส่วนเลขชี้กำลัง (fractional indices) และนำเรขาคณิตเชิงพิกัดมาใช้หาคำตอบจากสมการไดโอแฟนทีน เขาหาค่าผลบวกย่อยโดยประมาณของอนุกรมฮาร์โมนิกได้โดยใช้ลอการิทึม (ก่อนจะมีสมการผลรวมของออยเลอร์) และเป็นคนแรกที่ใช้อนุกรมกำลัง นิวตันสร้างผลงานด้านคณิตศาสตร์เยอะมากสมกับที่ได้รับการกล่าวขานจริงๆ

นักฟิสิกส์และนักดาราศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่

ผลงานเกี่ยวกับคุณสมบัติของแสงของนิวตันเริ่มจากปี 1666 ที่เขาสังเกตเห็นว่าสเปกตรัมของสีที่ออกจากปริซึมในตำแหน่งของความเบี่ยงเบนต่ำสุดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า แม้ว่าแสงเข้าสู่ปริซึมเป็นวงกลมก็ตาม นำไปสู่ข้อสรุปที่ว่าสีเป็นคุณสมบัติที่แท้จริงของแสง ต่อมาระหว่างปี 1670 ถึง 1672 ที่นิวตันสอนวิชาทัศนศาสตร์ (Optics) เขาได้ศึกษาการหักเหของแสงและค้นพบว่าแสงสีขาวเมื่อผ่านปริซึมจะเกิดแถบสี 7 สี (สีรุ้ง) และสามารถรวมกลับเป็นแสงสีขาวด้วยเลนส์และปริซึมอันที่สอง เขายังพบว่าลำแสงสีต่างๆจะไม่เปลี่ยนคุณสมบัติไม่ว่าจะผ่านการหักเห, การกระเจิง หรือการส่งผ่าน แสงจะยังคงสีเดิมไว้ ซึ่งนำไปสู่การสร้างทฤษฎีสีที่บอกว่าสีเป็นผลจากการที่วัตถุมีปฏิสัมพันธ์กับแสงที่มีสีอยู่แล้วไม่ใช่วัตถุสร้างสีเอง

จากงานเรื่องแสงของนิวตันทำให้เขาได้ข้อสรุปว่าเลนส์ของกล้องโทรทรรศน์หักเหแสง (Refracting Telescope) จะเห็นภาพไม่ค่อยชัดเนื่องจากการแผ่กระจายของแสงเป็นสี เพื่อพิสูจน์แนวคิดนี้เขาได้สร้างกล้องโทรทรรศน์ที่ใช้กระจกสะท้อนแสงแทนเลนส์เพื่อเลี่ยงปัญหาดังกล่าว นิวตันสร้างกล้องโทรทรรศน์สะท้อนแสง (Reflecting Telescope) สำเร็จในปี 1668 ซึ่งกลายเป็นต้นแบบของกล้องโทรทรรศน์ที่ใช้ในงานดาราศาสตร์ในปัจจุบันแทบทั้งหมด นอกจากนี้เขายังสร้างกฎการเย็นตัว (Newton’s Law of cooling) และทำการคำนวณความเร็วของเสียงในทางทฤษฎีได้เป็นครั้งแรกอีกด้วย

นิวตันได้สร้างกฎการเคลื่อนที่ (Newton’s laws of motion) อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุและแรงที่กระทำต่อมัน และการเคลื่อนที่ของวัตถุที่ตอบสนองต่อแรงเหล่านั้น เขาได้พิสูจน์ว่าทั้งวัตถุบนโลกและวัตถุในท้องฟ้าล้วนอยู่ภายใต้กฎการเคลื่อนที่เดียวกัน นิวตันใช้กฎนี้อธิบายและตรวจสอบหาความจริงในการเคลื่อนที่ของวัตถุและระบบในหลายกรณี รวมทั้งการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ กฎการเคลื่อนที่ของนิวตันกลายเป็นพื้นฐานที่สำคัญของวิชากลศาสตร์เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน มันมีประโยชน์อย่างมากต่อความก้าวหน้าในหลายเรื่องระหว่างการปฏิวัติอุตสาหกรรม และไม่เคยถูกปรับปรุงเลยมากว่า 200 ปี

ปี 1679 นิวตันหันมาสนใจศึกษาเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของวัตถุบนท้องฟ้าอีกครั้ง เขาครุ่นคิดพิจารณาเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงและผลกระทบของมันที่มีต่อการโคจรของดาวเคราะห์โดยใช้กฎการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ของเคปเลอร์เป็นตัวอ้างอิง นิวตันได้ทำการพิสูจน์ว่าการโคจรเป็นวงรีของดาวเคราะห์เป็นผลมาจากแรงสู่ศูนย์กลางที่ผกผันกับรัศมียกกำลังสอง นำไปสู่การสร้างกฎแรงโน้มถ่วงสากล (Newton’s law of universal gravitation) อันลือลั่นซึ่งเป็นเสาหลักของการศึกษาทางดาราศาสตร์ตลอดช่วง 3 ศตวรรษที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน และแม้ว่ากฎแรงโน้มถ่วงของนิวตันจะถูกทดแทนด้วยทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ แต่มันยังคงถูกใช้งานและยังให้ผลการคำนวณที่ยอดเยี่ยมมาโดยตลอด ทฤษฎีสัมพัทธภาพจะใช้ในกรณีที่ต้องการความละเอียดสูงมากหรือมีสนามแรงโน้มถ่วงกำลังสูงมากเท่านั้น

นิวตันได้รวบรวมผลงานเรื่องกฎการเคลื่อนที่และกฎแรงโน้มถ่วงสากลเขียนเป็นหนังสือโดยใช้วิชาแคลคูลัสในการอธิบายและพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์ หนังสือนี้กลายเป็นหนังสือที่สำคัญที่สุดเล่มหนึ่งในประวัติศาสตร์คือหนังสือ Philosophiæ Naturalis Principia Mathematica หรือเรียกสั้นๆว่า Principia

Principia หนังสือวิชาการที่ทรงคุณค่ามากที่สุดในโลก

ปี 1684 Edmond Halley นักดาราศาสตร์คนสำคัญของโลก (ผู้คำนวณคาบการโคจรและทำนายการปรากฏตัวของดาวหางฮัลเลย์สำเร็จคนแรก) ได้มาพบนิวตันเพื่อสอบถามความเห็นเรื่องปัญหาการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ที่ได้เคยถกเถียงกันและยังคิดกันไม่ออก นิวตันบอกว่าเขาพิสูจน์ได้ตั้งนานแล้วแต่หาบันทึกไม่เจอ ด้วยแรงกระตุ้นและการสนับสนุนจาก Halley นิวตันใช้เวลา 2 – 3 เดือนเขียนเนื้อหาที่เป็นหัวใจของเรื่องนี้จำนวน 9 แผ่นส่งให้ Halley และราชสมาคมแห่งลอนดอน และใช้เวลาอีก 2 ปีทุ่มเทเขียน Principia จนสำเร็จและได้ตีพิมพ์ครั้งแรกด้วยการช่วยเหลือด้านการเงินจาก Halley ในปี 1687

หนังสือ Principia แบ่งเป็น 3 เล่มย่อย เล่มแรกเกี่ยวกับพื้นฐานวิชาแคลคูลัสในชื่อ “the method of first and last ratios” และการเคลื่อนที่ของวัตถุ เล่มที่ 2 เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับความเร็วและแรงเสียดทาน, สถิตยศาสตร์ของไหล (Hydrostatics), แรงเสียดทานของอากาศ รวมทั้งการคำนวณหาความเร็วของคลื่นในของเหลวและความเร็วของเสียงในอากาศ เล่มที่ 3 เป็นเรื่องเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงสากลและการโคจรของระบบสุริยะ หนังสือเล่มนี้จึงมีทั้งวิชาแคลคูลัส กฎการเคลื่อนที่ และกฎแรงโน้มถ่วงสากลอันเป็นเสาหลักของการศึกษาและพัฒนาวิทยาศาสตร์มาอย่างยาวนาน

Principia ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในหนังสือทรงคุณค่าและมีอิทธิพลต่อวงการวิทยาศาสตร์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ไอน์สไตน์นักวิทยาศาสตร์ผู้โด่งดังของโลกบอกว่าหนังสือ Principia เป็น “ความก้าวหน้าทางสติปัญญาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” นอกจากนี้ Principia ฉบับพิมพ์ครั้งแรกยังเป็นหนังสือวิทยาศาสตร์ที่แพงที่สุดในโลกอีกด้วย ผู้ชนะการประมูลเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2016 ได้หนังสือ Principia ไปในราคา 3.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ตำนานแอปเปิลหล่นกับการค้นพบกฎแรงโน้มถ่วง

การค้นพบและสร้างกฎแรงโน้มถ่วงของนิวตันเป็นสิ่งที่พิเศษและเหลือเชื่ออย่างยิ่ง ไม่มีใครนึกฝันมาก่อนว่ามีแรงดึงดูดระหว่างมวล แล้วนิวตันค้นพบได้อย่างไร จึงมีตำนานเล่าว่าขณะที่เขานั่งใต้ต้นแอปเปิลมีลูกแอปเปิลหล่นลงมาใส่หัว ทำให้เขาเกิดปัญญาคิดขึ้นได้อย่างฉับพลันว่าลูกแอปเปิลหล่นลงมาด้วยแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งอันที่จริงการค้นพบของนิวตันต้องผ่านการศึกษาค้นคว้า ครุ่นคิดใคร่ครวญ พัฒนามาเป็นลำดับ ต้องสร้างวิชาแคลคูลัส สร้างกฎการเคลื่อนที่ และใช้เวลานานหลายปีกว่าจะสรุปออกมาเป็นกฎแรงโน้มถ่วงได้ แต่ตำนานแอปเปิลหล่นก็ไม่ใช่เรื่องที่มโนขึ้นเอง มีหลักฐานว่าเรื่องลูกแอปเปิลหล่นก็เป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจในการค้นพบด้วยเช่นกัน

William Stukeley ผู้เขียนบันทึกเรื่องราวของนิวตันในชื่อ “Memoirs of Sir Isaac Newton’s Life” ได้บันทึกสิ่งที่นิวตันเล่าให้เขาฟังด้วยตัวเองขณะพวกเขาสองคนนั่งอยู่ใต้ต้นแอปเปิลในสวนว่า “เมื่อก่อนเขา (นิวตัน) อยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกันนี้ ได้เห็นลูกแอลเปิลหล่น ความคิดเรื่องแรงโน้มถ่วงเข้ามาในใจเขา ทำไมลูกแอปเปิลถึงตกดิ่งลงสู่พื้น ทำไมไม่ออกไปด้านข้างหรือขึ้นข้างบน ทำไมมันถึงมุ่งสู่ใจกลางโลกเสมอ เหตุผลคือโลกดึงมันลงมา จะต้องมีแรงดึงในสสารและผลรวมของแรงดึงในสสารของโลกต้องอยู่ในแนวศูนย์กลางของโลก ถ้าสสารดึงสสาร มันจะต้องมีสัดส่วนตามปริมาณของมัน ดังนั้นลูกแอปเปิลดึงโลกและโลกก็ดึงลูกแอปเปิล” ตำนานลูกแอปเปิลหล่นกับการค้นพบที่ยิ่งใหญ่นี้จะถูกเล่าขานไปอีกนานแสนนาน

ทุ่มสุดตัวเพื่อผลงานยิ่งใหญ่แต่นอบน้อมถ่อมตนยิ่ง

ผลงานและความสำเร็จของนิวตันมิใช่ได้มาด้วยความอัจฉริยะของเขาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลจากการทุ่มเทในการศึกษาค้นคว้าทดลองครุ่นคิดวิเคราะห์ที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก เขาอุทิศเวลาทั้งชีวิตให้กับการทำงาน นิวตันไม่เคยแต่งงาน ไม่อยู่ภายใต้กิเลสตัณหาและความเปราะบางทางอารมณ์แบบผู้ชายคนอื่น เชื่อกันว่าเขาเสียชีวิตไปโดยที่ยังบริสุทธิ์อยู่

แม้นิวตันจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีผลงานโดดเด่นที่สุดและได้รับการยกย่องมากที่สุดในยุคนั้น แต่เขากลับเจียมเนื้อเจียมตัวกับความสำเร็จของตัวเอง ดังจะเห็นได้จากถ้อยคำที่เขาสื่อสารกับเพื่อนร่วมวงการ เช่น

“ถ้าฉันสามารถมองได้ไกลกว่าคนอื่น นั่นเป็นเพราะว่าฉันยืนอยู่บนไหล่ของยักษ์”

ซึ่งน่าจะหมายถึงความสำเร็จของเขามาจากผลงานของผู้ยิ่งใหญ่ยุคก่อนหน้า และหนึ่งในบรรดายักษ์ที่นิวตันให้การยกย่องเป็นพิเศษคือกาลิเลโอ ส่วนไหล่ของเขานั้นได้เป็นที่ยืนให้กับใครต่อใครมากมาย รวมทั้งไอน์สไตน์ผู้โด่งดัง

นักวิทยาศาสตร์ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์

เพียงผลงานอย่างใดอย่างหนึ่งในผลงานเด่นของนิวตัน ไม่ว่าจะเป็น วิชาแคลคูลัส, เรื่องแสงและกล้องโทรทรรศน์สะท้อนแสง, กฎการเคลื่อนที่ หรือกฎแรงโน้มถ่วง ก็ทำให้เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญของโลกได้แล้ว แต่นิวตันมีผลงานชั้นยอดมากมายสุดที่ใครจะเทียบได้ เขาจึงได้รับการยกย่องในระดับสูงสุดตลอดมา

นิวตันดำรงตำแหน่งสำคัญอันแสดงถึงการเป็นผู้มีความสามารถสูงเป็นที่ยอมรับมากมาย เขาเป็นเมธีลูเคเชียนที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์นานถึง 33 ปี, เป็นประธานราชสมาคมแห่งลอนดอนนาน 24 ปี (ในยุคนั้นใครที่จะได้เป็นสมาชิกของที่นี่ต้องเป็นคนที่โดดเด่นเท่านั้น), เป็นเจ้ากรมกษาปณ์ของอังกฤษนาน 27 ปี (รัฐบาลอังกฤษให้มาแก้ปัญหาธนบัตรปลอม นิวตันทำผลงานได้ยอดเยี่ยมจนได้เป็นหัวหน้าหน่วยงานนี้อย่างยาวนาน), เป็นสมาชิกรัฐสภา (ตัวแทนของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์) อีก 2 สมัย และกระทั่งยังมีเสียงร่ำลือว่าเขาเคยเป็นผู้นำสูงสุดของสมาคมลึกลับ Priory of Sion อีกด้วย (มีเค้ามากทีเดียวเพราะนิวตันเป็นนักเทววิทยาชั้นนำ) และนิวตันได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ชั้นอัศวิน (Knight) ในตำแหน่งเซอร์ (Sir) จากพระราชินีแอนน์แห่งอังกฤษในปี 1705

นิวตันเสียชีวิตในปี 1727 ด้วยวัย 85 ปี จากผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติอย่างอเนกอนันต์ พิธีศพของเขาจึงถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่เทียบเท่ากษัตริย์ ศพของเขาฝังอยู่ที่มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์เช่นเดียวกับกษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงของอังกฤษ นี่คือนักวิทยาศาสตร์ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ “เซอร์ไอแซก นิวตัน”

ที่มา
https://www.takieng.com/stories/6241
ข้อมูลและภาพจาก
wikipedia, biography, bbc

► อาร์คิมิดีส อัจฉริยะนักคณิตศาสตร์ นักฟิสิกส์ และนักประดิษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่ข้ามสหัสวรรษ

อาร์คิมิดีส เป็นนักคณิตศาสตร์ นักฟิสิกส์ วิศวกร และนักประดิษฐ์คนสำคัญในสมัยโบราณ ผู้วางรากฐานให้แก่วิชาสถิตยศาสตร์ สถิตยศาสตร์ของไหล และกลศาสตร์ เป็นผู้คิดค้นนวัตกรรมเครื่องจักรกลหลายชิ้น รวมทั้งอุปกรณ์เครื่องทุ่นแรงที่ยังใช้งานอยู่จนถึงปัจจุบัน ในงานด้านคณิตศาสตร์อาร์คิมิดีสเป็นผู้คิดวิธีหาพื้นที่และปริมาตรของรูปทรงเรขาคณิตมากมาย รวมทั้งการหาค่า π (pi) เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในบรรดานักวิทยาศาสตร์ชั้นยอดและเป็นนักคณิตศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในยุคโบราณ

อาร์คิมิดีส เป็นชาวกรีก เกิดเมื่อ 287 ปีก่อนคริสต์ศักราช ที่เมืองซีรากูซา บนเกาะซิซิลีซึ่งอยู่ทางตอนใต้สุดของประเทศอิตาลีในปัจจุบัน ในเวลานั้นเมืองซีรากูซาจัดเป็นเมืองใหญ่ที่มีความเจริญ มีกษัตริย์ปกครอง แต่อาร์คิมิดีสได้ดั้นด้นไปเรียนยังแดนไกลที่เมืองอเล็กซานเดรียทางตอนเหนืออียิปต์ซึ่งในตอนนั้นเป็นศูนย์กลางการศึกษาที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เขาได้เข้าเรียนที่โรงเรียนของทายาทของ Euclid ตำนานนักคณิตศาสตร์ผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งเรขาคณิต

หลังจบการศึกษาที่เมืองอเล็กซานเดรีย อาร์คิมิดีสได้กลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองซีรากูซา เป็นนักคิดและนักประดิษฐ์คนสำคัญของเมืองบ้านเกิด ทำงานและช่วยแก้ปัญหาให้กับพระเจ้าเฮียโรที่ 2 กษัตริย์ผู้ปกครองเมืองซีรากูซาซึ่งนัยว่าเป็นญาติกับเขาด้วยแต่ไม่มีหลักฐานยืนยัน อาร์คิมิดีสสร้างผลงานมากมายจนเป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์

วลีดังที่ผู้คนทั่วโลกรู้จักกันดี “ยูเรก้า!”
เรื่องเล่าที่รู้จักกันแพร่หลายที่สุดเกี่ยวกับอาร์คิมิดีสคือตอนที่เขาค้นพบวิธีหาปริมาตรของมงกุฎทองของพระเจ้าเฮียโรที่ 2 เพื่อพิสูจน์ว่ามีการผสมเงินเข้าไปด้วยหรือไม่ อาร์คิมิดีสค้นพบคำตอบตอนที่เขากำลังอาบน้ำแล้วสังเกตเห็นว่าระดับน้ำในอ่างเพิ่มสูงขึ้นขณะเขาก้าวลงไป จึงคิดวิธีหาปริมาตรของมงกุฎโดยวิธีแทนที่น้ำได้ ซึ่งนำไปสู่การพิสูจน์ได้ว่ามงกุฏทองมีเงินผสมอยู่จริงๆ ด้วยความตื่นเต้นดีใจอาร์คิมิดีสจึงวิ่งออกไปยังท้องถนนทั้งที่ยังแก้ผ้า แล้วร้องตะโกนว่า “ยูเรก้า!” (ภาษากรีกแปลว่าฉันพบแล้ว)

อาร์คิมิดีสได้เขียนอธิบายหลักการนี้ซึ่งต่อมาเรียกว่าหลักการของอาร์คิมิดีส (Archimedes’ principle) ไว้ในหนังสือ On Floating Bodies ว่า “เมื่อนำวัตถุลงไปแทนที่ของเหลวจะมีแรงต้านเท่ากับน้ำหนักของของเหลวปริมาตรเท่าส่วนจม” สิ่งที่เขาค้นพบเป็นกฎของแรงลอยตัวและการแทนที่ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของวิชาสถิตยศาสตร์ของไหล ( Hydrostatics)

เครื่องทุ่นแรงที่ใช้มานานกว่า 2,000 ปี
ระหัดเกลียวของอาร์คิมีดีส (Archimedes’s Screw)
พระเจ้าเฮียโรที่ 2 ให้อาร์คิมีดีสออกแบบสร้างเรือที่ใหญ่ที่สุดในยุคนั้น บรรทุกคนได้ 600 คน มีสวนไม้ประดับ โรงยิม โบสถ์ และเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย สามารถใช้เป็นเรือสำราญ เรือบรรทุกสินค้า หรือเป็นเรือรบก็ได้ ปัญหาอย่างหนึ่งสำหรับเรือใหญ่ขนาดนี้ในสมัยนั้นคือมีน้ำรั่วซึมตามลำเรือมาก จำเป็นต้องมีเครื่องมือวิดน้ำออกจากท้องเรือให้ทัน อาร์คิมีดีสได้ออกแบบเครื่องมือที่ประกอบด้วยใบพัดหมุนรูปเกลียวอยู่ภายในท่อทรงกระบอก ใช้หมุนด้วยมือ มันสามารถใช้งานได้ผลเป็นอย่างดี ปัจจุบันนี้ระหัดเกลียวของอาร์คิมีดีสยังเป็นที่นิยมใช้งานกันอย่างแพร่หลายสำหรับการระบายน้ำและการขนถ่ายวัสดุประเภทเป็นเม็ดขนาดเล็ก เช่น ถ่านหินหรือเมล็ดธัญพืช

คานดีดคานงัด (Law of Lever)
อาร์คิมีดีสได้อธิบายหลักการในเรื่องนี้ไว้ในหนังสือ On the Equilibrium of Planes มีประโยชน์สำหรับการยกของที่มีน้ำหนักมาก คานดีดคานงัดใช้วิธีการง่ายๆคือหาไม้คานยาวอันหนึ่งและจุดรองรับคาน (Fulcrum) เมื่อสอดปลายไม้ด้านหนึ่งไว้ใต้สิ่งของใกล้กับตำแหน่งจุดรองรับคานและออกแรงกดที่ปลายไม้คานอีกด้านหนึ่งก็จะสามารถยกของที่มีน้ำหนักมากได้อย่างสบาย เขาได้สอนให้พวกกะลาสีเรือรู้จักใช้คานงัดของหนักโดยไม่ต้องออกแรงมากนัก และนี่เป็นที่มาของวาทะเด็ดของเขาที่ว่า “Give me a place to stand, and a lever long enough, and I will move the world.” – หาที่ยืนกับคานงัดที่ยาวพอให้ฉันสิ แล้วฉันจะเคลื่อนโลกให้ดู

เครื่องชักรอก (Block and tackle)
อาร์คิมีดีสคิดค้นเครื่องชักรอกหรือระบบรอกพวงที่ใช้รอกหลายตัวซึ่งช่วยทุ่นแรงในการยกของหนักเพื่อให้พวกกะลาสีเรือที่แต่ละวันต้องยกของหนักจำนวนมากไม่ต้องเหนื่อยมากเกินไปและไม่ต้องใช้คนจำนวนมากในการยกของหนัก ก่อนจะมีเครื่องมือชนิดนี้ของหนัก 1 ตันต้องใช้คนยกมากถึง 30 – 40 คน แต่เมื่อมีเครื่องชักรอกคนเพียงคนเดียวก็สามารถจะยกขึ้นได้ เมื่อเครื่องชักรอกของอาร์คิมิดิสถูกใช้งานอย่างแพร่หลายก็ทำให้วิทยาการของโลกเจริญรุดหน้าไปมาก เพราะการสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่สามารถทำได้ง่ายขึ้นและเทคโนโลยีนี้ก็ยังถูกพัฒนาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันอย่างเช่นเครนขนาดใหญ่ที่ใช้ในการสร้างตึกสูงก็ใช้ระบบรอกที่อาร์คิมิดิสเป็นผู้คิดค้นขึ้นมา

เครื่องทุ่นแรงต่างๆที่อาร์คิมีดีสคิดค้นขึ้นมานอกจากจะมีประโยชน์ต่อการทำงานอย่างมากมายจนเป็นที่นิยมใช้กันต่อเนื่องยาวนานกว่า 2,000 ปีแล้วนั้น มันยังเป็นรากฐานที่สำคัญของวิชากลศาสตร์ รวมถึงเป็นต้นแบบของเครื่องจักรกลที่สำคัญในปัจจุบันอีกจำนวนมาก

สุดยอดนักคณิตศาสตร์ยุคโบราณ
การประมาณค่า π 
ทรงกลมและทรงกระบอก
พาราโบลาและเส้นตรง
จุดศูนย์ถ่วงของระนาบ

คิดค้นอาวุธสงครามเพื่อปกป้องบ้านเมือง
กรงเล็บของอาร์คิมิดีส (Claw of Archimedes)
ลำแสงพิฆาตของอาร์คิมิดีส (Archimedes’ Death Ray)

จบชีวิตขณะคิดโจทย์คณิตศาสตร์
หลังจากปิดล้อมอยู่นานในที่สุดกองทัพโรมันก็สามารถตีเมืองซีรากูซาได้สำเร็จ นายพลมาร์เซลลัสที่ชื่นชมความสามารถของอาร์คิมิดีสอย่างมากและคิดว่าอาร์คิมิดีสคือสมบัติทางวิทยาศาสตร์อันล้ำค่า ได้สั่งให้ทหารนำตัวอาร์คิมิดีสมาพบโดยห้ามทำร้ายเขา ทหารมาตามตัวอาร์คิมิดีสไปพบแม่ทัพโรมันขณะที่เขากำลังคิดใคร่ครวญปัญหาคณิตศาสตร์อยู่ เขาจึงปฏิเสธโดยบอกกับทหารว่าเขาต้องทำโจทย์คณิตศาสตร์ให้เสร็จก่อน อย่าเพิ่งมารบกวน ทหารโรมันโกรธมากจึงใช้ดาบฆ่าเขา นายพลมาร์เซลลัสโกรธมากที่ผู้ซึ่งเขาเรียกว่า “เทพเจ้าแห่งเรขาคณิต” ต้องตายไปทั้งๆที่เขาสั่งห้ามทำอันตรายต่อเขาไว้แล้ว

นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ข้ามสหัสวรรษ
ผลงานของอาร์คิมิดีสทั้งในฐานะนักฟิสิกส์ นักคณิตศาสตร์ วิศวกร หรือนักประดิษฐ์ ล้วนมีประโยชน์ต่อผู้คนทั่วโลกอย่างมหาศาล ผลงานหลายอย่างของเขาถูกนำไปใช้ประโยชน์ตั้งแต่สมัยโบราณสืบเนื่องต่อมาข้ามสองสหัสวรรษจนถึงปัจจุบันก็ยังคงใช้งานได้ดี กาลิเลโอให้การยกย่องต่ออาร์คิมิดีสหลายต่อหลายครั้งและให้ฉายาเขาว่า ‘เหนือมนุษย์’ (Superhuman) ส่วนกอทท์ฟรีด ไลบ์นิซบอกว่าหากใครรู้จักเข้าใจอาร์คิมิดีสดีพอจะให้การยกย่องต่อความสำเร็จของคนสำคัญยุคต่อมาน้อยลง อาร์คิมิดีสจึงได้รับการยกย่องให้เป็นทั้งนักคณิตศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกตลอดกาล

ที่มา
https://www.takieng.com/stories/10098

► ผลวิจัยเม็ดเลือดเผยอายุขัยที่แท้จริงของมนุษย์ ชี้อยู่ได้นานที่สุดถึง 150 ปี

แม้จะเคยมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ชี้ว่า คนเราสามารถมีชีวิตอยู่ได้ยาวนานที่สุดราว 120 ปี แต่ผลการศึกษาใหม่ที่วิเคราะห์วงจรชีวิตของเม็ดเลือดกลับให้ข้อมูลที่ต่างออกไป โดยพบสิ่งบ่งชี้ว่าอายุขัยสูงสุดที่แท้จริงของมนุษย์อาจมากถึง 150 ปี

ทีมนักวิจัยเชื้อสายรัสเซียจากบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ “เจโร” (Gero) ในสิงคโปร์ ตีพิมพ์เผยแพร่ผลการวิจัยข้างต้นในวารสาร Nature Communications โดยระบุว่าคนเราสามารถมีชีวิตยืนยาวได้อย่างมากที่สุดราว 120 – 150 ปี แต่จะไม่เกินไปกว่านั้น เนื่องจากความสามารถในการซ่อมแซมฟื้นฟูร่างกายในระดับเซลล์ได้หมดไปอย่างสิ้นเชิงในช่วงวัยดังกล่าว

  • พบความแก่ชรามีอย่างน้อย 4 แบบ คุณจะเป็นแบบไหนเมื่อสูงวัยมากขึ้น
  • มนุษย์ไม่ได้ชราลงอย่างต่อเนื่อง แต่ร่างกายถึงคราวทรุดโทรม 3 ครั้งใหญ่ในชีวิต
  • วิธีบำบัดใหม่ใช้กระแสไฟฟ้าอ่อนแตะใบหูช่วยชะลอวัย

ทีมผู้วิจัยทราบถึงขีดจำกัดของอายุขัยมนุษย์ได้ ด้วยการวิเคราะห์ผลตรวจนับเม็ดเลือดของประชากรต่างวัย 500,000 คนในสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และรัสเซีย เพื่อดูถึงสัดส่วนระหว่างเม็ดเลือดขาวสองชนิด กับความแตกต่างของขนาดเม็ดเลือดแดงที่ร่างกายผลิตออกมา ซึ่งยิ่งคนเรามีอายุมากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงทั้งปริมาณและขนาดของเม็ดเลือดสองประการนี้ก็จะยิ่งปรากฏชัดขึ้น เหมือนกับผมที่หงอกขาวเมื่อเข้าสู่วัยชรา

ข้อมูลความเปลี่ยนแปลงของเม็ดเลือดดังกล่าว เป็นตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ (Biomarker) ที่บอกได้ถึงระดับความชราหรืออายุทางชีวภาพ (Biological age) ที่แท้จริงของคนเรา ซึ่งอาจแก่กว่าหรืออ่อนเยาว์กว่าอายุที่นับจากวันเกิดก็ได้

ภาพขยายเซลล์เม็ดเลือดแดงขณะเกิดลิ่มเลือด


มีการนำข้อมูลเหล่านี้มาสร้างเป็นแบบจำลองคอมพิวเตอร์ เพื่อคำนวณหาสิ่งที่เรียกว่า “ตัวบ่งชี้สภาพของสิ่งมีชีวิตแบบมีพลวัต” (DOSI) ซึ่งตัวเลขนี้จะแสดงถึงความสามารถของมนุษย์ในการฟื้นตัวจากภาวะป่วยไข้หรือบาดเจ็บ และหากความสามารถนี้ยังคงอยู่ในช่วงวัยใดก็จะไม่ทำให้เกิดภาวะเครียดในร่างกายที่นำไปสู่ความชรา

ผลการคำนวณปรากฏว่า ความสามารถในการฟื้นตัวจากภาวะป่วยไข้หรือบาดเจ็บของคนเราจะหมดไปอย่างสิ้นเชิงในช่วงอายุ 120 – 150 ปี ส่วนผลการคำนวณอีกชุดที่ใช้ทวนสอบความถูกต้องของผลคำนวณอายุขัยดังกล่าว ใช้วิธีนับจำนวนก้าวเดินในแต่ละวันกับประชากรต่างวัยราว 5,000 คน ซึ่งก็คำนวณได้ผลออกมาเช่นเดียวกัน แม้ในกรณีนี้จะใช้จำนวนก้าวที่สามารถเดินได้เป็นตัวบ่งชี้ระดับความชราแทนข้อมูลเม็ดเลือดก็ตาม

อย่างไรก็ตาม การมีอายุขัยที่ยืนยาวมากขึ้นเป็นคนละเรื่องกับการมีสุขภาพที่ดีในวัยชรา ซึ่งทีมผู้วิจัยแนะว่าควรจะต้องมีการศึกษาต่อไปถึงช่วงอายุยาวนานที่สุดที่คนเราจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยมีสุภาพแข็งแรงดีด้วย

ปัจจุบันมนุษย์เจ้าของสถิติอายุยืนยาวที่สุดในโลกได้แก่ จานน์ แกลมองต์ คุณทวดหญิงชาวฝรั่งเศส ซึ่งเสียชีวิตในปี 1997 ด้วยวัย 122 ปี กับอีก 164 วัน

ที่มา : https://www.bbc.com/thai/features-57298728

► ฟ้าทะลายโจร

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Andrographis paniculata (Burm.f.) Nees (วงศ์ Acanthaceae)
ชื่ออื่น : ฟ้าทะลาย หญ้ากันงู น้ำลายพังพอน เมฆทะลาย ฟ้าสะท้าน

ตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย “ฟ้าทะลายโจร” จัดเป็นสมุนไพรที่มีรสขม อยู่ในกลุ่มยาเย็น มีสรรพคุณทางการแพทย์แผนไทย ใช้บรรเทาอาการไข้หวัด แก้ไอและเจ็บคอ เป็นสมุนไพรที่ได้ถูกบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. 2542 (บัญชียาจากสมุนไพร) กระทรวงสาธารณสุข ในรูปแบบยาเดี่ยว

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ได้มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวสมุนไพรฟ้าทะลายโจรกันอย่างแพร่หลาย มีข้อมูลสนับสนุนจากงานวิจัยทางคลินิก พบว่า สมุนไพรฟ้าทะลายโจรมีส่วนช่วยรักษาอาการของโรคติดเชื้อเฉียบพลันของระบบทางเดินหายใจ (acute respiratory tract infection) เช่น อาการไอ อาการเจ็บคอได้ดี ในปี พ.ศ.2555 ได้มีข้อมูลงานวิจัย จากผู้ป่วยจำนวน 807 คน พบว่าผลิตภัณฑ์สารสกัดจากฟ้าทะลายโจรร่วมกับสมุนไพรอื่นๆ ขนาดรับประทาน 31.5-200 มิลลิกรัม/วัน รับประทานเป็นเวลา 3-10 วัน มีผลช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการไอเนื่องจากไข้หวัด (common cold) และอาการอักเสบของระบบทางเดินหายใจส่วนบนได้

ในมุมมองการเกิดโรคหรืออาการตามศาสตร์การแพทย์แผนไทยนั้น อาการไข้ ไอ เจ็บคอ เป็นอิทธิพลของธาตุไฟที่เพิ่มปริมาณสูงขึ้น ทำให้เกิดอาการดังกล่าว เราจึงสามารถใช้สมุนไพรฤทธิ์เย็น (สมุนไพรฟ้าทะลายโจร) เพื่อใช้ในการรักษาอาการที่ส่งผลมาจากอิทธิพลของไฟที่เพิ่มขึ้นได้ พูดง่ายๆคือ ใช้ความเย็น ปรับหรือลดปริมาณความร้อนในร่างกายให้สมดุลนั่นเอง แต่หากใช้ในปริมาณเกินความจำเป็นก็อาจส่งผลทำให้ ร่างกายมีปริมาณความเย็นเกินไป ส่งผลทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ตามมาได้ เช่น อาการชาต่างร่างกาย แขน-ขาอ่อนแรง ท้องอืดท้องเฟ้อ ท้องเสีย หรือผื่นแพ้ตามร่างกาย เป็นต้น

คำแนะนำ
บรรเทาอาการเจ็บคอ
บรรเทาอาการของโรคหวัด (common cold) เช่น เจ็บคอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ

ขนาดและวิธีใช้
รับประทานครั้งละ 500 มิลลิกรัม – 2 กรัม วันละ 4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน

ข้อห้ามใช้
ห้ามใช้ ในผู้ที่มีอาการแพ้ ฟ้าทะลายโจร
ห้ามใช้ ในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร เนื่องจากอาจทำให้เกิดทารกวิรูปได้

คำเตือน
หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้แขนขามีอาการชาหรืออ่อนแรง
หากใช้ฟ้าทะลายโจรติดต่อกัน 3 วัน แล้วไม่หาย หรือ มีอาการรุนแรงขึ้นระหว่างใช้ ยา ควรหยุดใช้ และพบแพทย์
ควรระวังการใช้ร่วมกับสารกันเลือดเป็นลิ่ม (anticoagulants) และยาต้านการจับตัวของเกล็ดเลือด (antiplatelets)
ควรระวังการใช้ร่วมกับยาลดความดันเลือดเพราะอาจเสริมฤทธิ์กันได้
ควรระวังการใช้ร่วมกับยาที่กระบวนการเมแทบอลิซึม ผ่านเอนไซม์ Cytochrome P450 (CYP) เนื่องจากฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ CYP1A2, CYP2C9 และCYP3A4

อาการไม่พึงประสงค์
อาจทำให้เกิดอาการผิดปกติของทางเดินอาหาร เช่น ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ เบื่ออาหาร วิงเวียนศีรษะ ใจสั่น และอาจเกิดลมพิษได้

อ้างอิง
http://kpo.moph.go.th/webkpo/tool/Thaimed2555.pdf
https://www.pharmacy.mahidol.ac.th/knowledge/files/0484.pdf

ที่มา
https://med.mahidol.ac.th/altern_med/th/km/19jun2020-1729

► โรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก (BELL’S PALSY)

อาการหน้าเบี้ยวครึ่งซีก
การที่เปลือกตาและมุมปากตกลง รวมทั้งน้ำลายไหลออกจากมุมปาก และขยับยิ้มมุมปากด้านที่เกิดปัญหาไม่ได้ตามปกตินั้นเกิดจากภาวะที่เส้นประสาทควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อหน้ามีการอักเสบหยุดการทำงาน ทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงด้านเดียวกัน หรือจะระบุว่าเกิดจากการที่เส้นประสาทที่ 7 ก็ได้ โดยโรคนี้มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า BELL’S PALSY (เบลล์พัลซี่)

อาการแสดง

  • อาจเกิดอาการนำคือ ปวดที่บริเวณด้านหน้าหรือหลังหู 1-2 วัน
  • กล้ามเนื้อแสดงสีหน้าเป็นอัมพาตครึ่งซีก โดยปิดตาและ ยักคิ้วข้างนั้นได้ลดลง หรือเวลาหลับตาแล้วปิดตาไม่สนิทส่งผลให้เกิดสภาพตาแห้ง
  • รู้สึกตึงหรือหนักที่ใบหน้าซีกนั้น
  • เสียงก้องที่หูข้างเดียวกัน หูอื้อ
  • บางครั้งอาจมีอาการชาลิ้น

สาเหตุของอาการหน้าเบี้ยวครึ่งซีก
เส้นประสาทที่ 7 เกิดการอักเสบนั้นมีหลักฐานพบว่ามักเป็นจากเชื้อเริมที่มีชื่อเรียกว่า เฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ไวรัส (Herpes simplex virus : HSV) มีอาการร้อนในโดยเกิดแผลร้อนในที่ปากและอวัยวะเพศ ส่วนสาเหตุจากเชื้ออื่นๆ ยังมีงูสวัด หรือ เฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ไวรัส (Herpes zoster virus) ไซโตเมกะโลไวรัส (cytomegalovirus),และเอ็บสไตบาร์ไวรัส (Epstein Barr virus) ซึ่งเมื่อเกิดการอักเสบแล้วจะทำให้เส้นประสาทบวม มีผลทำให้เส้นเลือดขนาดเล็กส่งเลือดไปเลี้ยงเส้นประสาทไม่ได้ จึงรบกวนการทำงานของเส้นประสาทจนไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าให้ทำงานได้ที่กล้ามเนื้อสำหรับใช้ปิดตาและยิ้ม

การวินิจฉัยอาการหน้าเบี้ยวครึ่งซีก
ผู้ป่วยต้องได้รับการตรวจร่างกายเป็นหลัก โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ในรายที่มีอาการนี้มานานเกิน 2 เดือน แล้วยังไม่ดีขึ้นอาจต้องใช้วิธีเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็ก (MRI SCAN) เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีเนื้องอกเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามโรคเส้นประสาทที่ 7 อักเสบ หรือ BELL’S PALSY ส่วนใหญ่หายได้หมด กลับมาปกติ น้อยมากที่จะไม่หายสนิทหรือไม่หายและมีโอกาสน้อยมากที่จะเป็นซ้ำส่วนใหญ่หายได้สนิทใน 2 เดือน

การรักษาอาการหน้าเบี้ยวครึ่งซีก

  • ยาแก้อักเสบกลุ่มสเตียรอยด์ เพื่อการอักเสบบวมของเส้นประสาท
  • ยาฆ่าเชื้อไวรัส ในกรณีพบอาการแสดงของการติดเชื้อไวรัสงูสวัดร่วมด้วย
  • กายภาพบำบัด เช่น การกระตุ้นเส้นประสาทด้วยกระแสไฟฟ้า หรือ การนวดใบหน้า ซึ่งจะช่วยลดภาวะกล้ามเนื้อตึงเกร็งได้
  • การรักษาตามอาการอื่นๆ ได้แก่ การหยอดน้ำตาเทียมและป้ายตาด้วยขี้ผึ้งยาเพื่อป้องกันกระจกตาเป็นแผลหรือการให้วิตามินบำรุงสายตา

การปฏิบัติตัวหลังมีอาการหน้าเบี้ยวครึ่งซีก

  • ผู้ป่วยโรคเบาหวานควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • งดดื่มสุรา
  • เนื่องจากตาจะปิดไม่สนิท จึงควรสวมแว่นกันลมหรือปิดตาป้องกันกระจกตาแห้งและเป็นแผล
  • บริหารกล้ามเนื้อใบหน้าด้วยตนเองได้โดย

ที่มา
http://www.errama.com/system/spaw2/uploads/files/case%20repo..Bell.pdf
https://www.ram-hosp.co.th
https://petcharavejhospital.com
https://www.me2care.com/bell-palsy