เดือน: มิถุนายน 2021

► 9 ข้อดีของการดื่มไวน์

ไวน์ (Wine) เครื่องดื่มยอดนิยมทั่วโลก ที่มีรสชาติแตกต่างกันไปตามแหล่งผลิต ระยะเวลาการบ่ม รวมไปถึงชนิดของไวน์ ไม่ว่าจะเป็น ไวน์แดง (Red Wine) ไวน์ขาว (White Wine) ไวน์โรเซ่ (Rose Wine) เป็นต้น

หลายคนสงสัยว่า ไวน์ จะมีประโยชน์ได้อย่างไร ดื่มไวน์เพื่อสุขภาพได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นั้นเพราะวัตถุดิบหลักอย่างองุ่น เป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณมากมาย ที่ช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง และลดภาวะเสี่ยงจากโรคร้ายได้อีกด้วย เฮเฟเล่ขอนำเสนอ ข้อดีและประโยชน์เพื่อสุขภาพของการดื่มไวน์

1.ชะลอความแก่ Anti Aging
ในองุ่น ก็เนื่องด้วยสารต้านอนุมูลอิสระในไวน์แดงช่วยป้องกันร่างกายจากความเสียหายจากอนุมูลอิสระและจะชะลอกระบวนการชรา ไวน์แดงมีความเข้มข้นของสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่าโพลีมากกว่า เมื่อเทียบกับน้ำองุ่น

นักวิจัยสเปนแนะว่าการดื่มไวน์แดงอาจช่วยชะลอความแก่ หลังพบสารเมลาโทนินในผิวองุ่น รวมถึงอาหารอีกหลายชนิด เช่น หอมหัวใหญ่ ข้าว และเชอรี่ สามารถปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายตามอายุขัยที่เพิ่มขึ้น ซึ่งควรจะเริ่มกินตั้งแต่อายุย่างเข้า 30 ปี เพราะไวน์แดง ชะลอความแก่ ได้จริง แล้วยังช่วยปรับปรุงสุขภาพหัวใจ แต่คุณก็ควรที่จะดื่มในปริมาณที่เหมาะสมเช่นกันค่ะ

2.ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
สารเรสเวอราทรอล (Resveratrol) ในไวน์ช่วยให้หัวใจแข็งแรง สารดังกล่าวทำหน้าที่เปลี่ยนระดับไขมันคอเลสเตอรอลในเลือด เลือดไม่เกาะกันเป็นก้อน ลดปัญหาการอุดสันในเส้นเลือด ทำให้ลดความเสี่ยงที่เกิดโรคหัวใจได้ 30-40 %

การดื่มไวน์แดงในปริมาณที่พอเหมาะ อย่างสม่ำเสมอทุกวันเหมือนที่ชาวฝรั่งเศสปฏิบัติกันเป็นปกตินิสัย ทำให้ชาวฝรั่งเศสมีอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และโรคหัวใจล้มเหลวลดลงถึง 50 %

ส่วนไวน์ขาวนอกจากจะเป็นเครื่องดื่มที่สร้างความสดชื่นให้กับร่างกายแล้ว ยังทำให้อาหารทะเลมีรสชาติถูกปากอร่อยลิ้น ที่สำคัญมีสรรพคุณช่วยย่อยอาหารและ สามารถกำจัดพิษจากอาหารทะเลที่เป็นอันตรายต่อระบบย่อยอาหารได้อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง

3.ลดและป้องกันมะเร็ง
สารเรสเวอราทรอล (Resveratrol) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งซึ่งพบได้ในองุ่น ราสเบอร์รี ถั่วลิสง และพืชอื่นๆ มีหลักฐานว่า เรสเวราทรอลนั้นลดอนุมูลอิสระและลดอัตราการเกิดมะเร็งในสัตว์ทดลอง รวมทั้งลดการเจริญเติบโตของมะเร็งในถาดเพาะเชื้อได้ นอกจากนั้นยังลดสารเอ็นเอฟ แคปปา บี (NF kappa B) ซึ่งเป็นโปรตีนที่สร้างโดยระบบภูมิคุ้มกันที่ถูกกระตุ้นอีกด้วย ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ดื่มไวน์ต้านมะเร็งได้

4.ลดปริมาณคอเลสเตอรอล
เป็นที่ทราบกันดีว่าในไวน์แดง มีแทนนินหรือความฝาด ซึ่งนอกจากจะป้องกันการเกิดโรคหัวใจแล้ว ยังช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด หากมีคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดมากๆ อาจทำให้เกิดการไหลเวียนของเลือดผิดปกติได้

5.ช่วยในการย่อย
อาหารประเภททอด อาหารแปรรูป จะมีสาร Malonaldehydes ซึ่งสารเหล่านี้ส่งผลร้ายต่อระบบทางเดินอาหารให้แก่ร่างกาย มีการศึกษาพบว่าการดื่มไวน์แดงกับอาหารดังกล่าวช่วยลบล้างสารเหล่านี้ได้ถึงร้อยละ 60-70 ดังนั้นความสามารถในการช่วยการทำลายสารเหล่านี้ก็เป็นประโยชน์ในการย่อยอาหาร

6.ช่วยในลดและคลายความเครียด
ไวน์ช่วยเรื่องความเครียดได้ ไวน์เป็นยากล่อมประสาทชนิดหนึ่ง ช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย จึงช่วยลดความเครียดหรือคลายกังวล ทำให้นอนหลับพักผ่อนได้ยาวนานขึ้น

7.ป้องกันโรคความจำเสื่อม
นักวิจัยพบว่าไวน์แดงช่วยลดความจำเสื่อมได้ โดยสาร สารเรสเวอราทรอล (Resveratrol) ในไวน์แดง มีผลในการป้องกันการเสื่อมของสมอง

ทีมงานวิจัยได้ศึกษาคอไวน์ 7,983 คน ซึ่งดื่มไวน์เป็นประจำ วันละ 1 – 3 แก้ว ระหว่างปี1990 – 1999 พบว่าบุคคลดังกล่าวไม่เป็นโรคอัลไซเมอร์ และ โรคพาร์กินสันแต่อย่างใด

8.สุขภาพเหงือกและฟัน
ไวน์มีคุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรียในช่องปาก และนอกจากนี้งานวิจัย แสดงให้เห็นว่า สารโพลีฟีน เป็นสารธรรมชาติที่พบในเมล็ดองุ่นและไวน์แดงจะมีคุณสมบัติช่วยในการต้านการอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียของเหงือก หรือเหงือกอักเสบ

9.ไวน์ช่วยป้องกันโรคหวัด
รู้หรือไม่ส่วนประกอบที่มีอยู่ในไวน์ช่วยป้องกันหวัดได้ ศูนย์โรคหวัดแห่งมหาวิทยาลัย คาร์ดีฟ เคยมีรายงานว่า คุณสมบัติของสารต้านอนุมูลอิสระ หรือสารแอนตี้ออกซิแดนท์อาจทำให้ไวน์แดง สามารถป้องกันหวัดได้ และยังมีผลการวิจัยอาสาสมัคร 4,000 คน เป็นเวลา 1 ปีพบว่า ผู้ที่ดื่มไวน์แดงมากกว่าวันละ 2 แก้ว เป็นหวัดน้อยกว่าคนที่ไม่ได้ดื่มไวน์เลยถึงร้อยละ 44

ดื่มไวน์อย่างไรให้ดีต่อสุขภาพ ?
การดื่มไวน์เพื่อสุขภาพ หากดื่มในปริมาณที่เหมาะสมก็จะได้รับประโยชน์ แต่การดื่มในปริมาณที่มากเกินไปก็อาจส่งผลกระทบในทางลบได้ โดยปริมาณการดื่มไวน์อย่างเหมาะสมที่แนะนำ คือ ผู้ชายควรดื่มไม่เกิน 2 แก้ว /วัน หรือประมาณ 250 – 300 มิลลิลิตร และผู้หญิงควรดื่มไม่เกิน 1 แก้ว /วัน หรือประมาณ 125 – 150 มิลลิลิตร

ที่มา https://www.hafelethailand.com

► การเลือกซื้อกุ้งสด

การเลือกซื้ออาหารทะเล แน่นอนว่าสิ่งแรกคือต้งไม่มีกลิ่นเหม็น และสภาพโดยรวมสมบูรณ์ แต่จะเลือกอย่างไร เรามาดูกัน

  • เลือกกุ้งลำตัวใส ติดเปลือกแน่น เปลือกเงางาม
  • เลือกกุ้งที่หัวติดกับลำตัว ไม่หลุดออกจากกัน
  • เลือกกุ้งที่ครีบและหางเป็นมัน ไม่หลุดออกจากกัน

เพื่อรักษาความสดของกุ้งไว้ ควรใส่น้ำแข็งให้ก่อนกลับบ้านด้วย และเมื่อถึงบ้านแล้ว ให้รีบนำกุ้งเข้าช่อง Freeze ทันที เพื่อคงความสดให้คงนานกว่าเดิม

ที่มา https://www.tescolotus.com

► ดื่มน้ำอย่างถูกวิธี

ร่างกายมีน้ำเป็นส่วนประกอบประมาณ 70% ของน้ำหนักตัว ซึ่งเป็นองค์ประกอบของเลือด อวัยวะ กล้ามเนื้อ ผิวหนัง และสมอง ในหนึ่งวัน เราจึงควรดื่มน้ำให้เพียงพอประมาณ 2 ลิตร หรือ 6-8 แก้ว

ดื่มน้ำให้เพียงพอ

  • ทำให้ระบบต่างๆ ของร่างกายและสมองทำงานได้ดี
  • ทำให้สามารถขนส่งสารอาหารไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายได้
  • ทำให้สุขภาพผิวดี
  • ทำให้การเคลื่อนไหวดี เนื่องจากช่วยหล่อลื่นข้อต่อและช่วยให้การทำงานของกล้ามเนื้อมีประสิทธิภาพ
  • ทำให้สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้ดี ป้องกันการท้องผูก

ควรดื่มเมื่อไหร่

  • หลังจากตื่นนอน กระตุ้นการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายและระบบการขับของเสีย
  • เมื่อหิวน้ำ ถ้ารู้สึกหิวน้ำแปลว่าร่างกายเริ่มขาดน้ำ จึงควรดื่มน้ำสม่ำเสมอระหว่างวัน
  • ก่อนนอน ให้ระบบการทำงานของร่างกายสมดุล และมีประสิทธิภาพขณะหลับ
  • เมื่ออากาศร้อน ทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือเสียเหงื่อมากจากการทำงานหรือการออกกำลังกาย

ดื่มอย่างไร

  • ดื่มน้ำเปล่าที่สะอาด
  • ดื่มน้ำโดยการจิบทีละน้อยตลอดทั้งวัน
  • ระวังการดื่มครั้งเดียวในปริมาณมาก เพราะจะทำให้ไตทำงานหนักขึ้น เลือดเจือจาง หรือปริมาณ
    น้ำในเซลล์มากจนเกิดอาการบวมน้ำ อาจเกิดพิษต่อเซลล์
  • หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอย่างรวดเร็ว เพราะจะมีผลกระทบต่อการทำงานและการสูบฉีดของหัวใจ

► อาชีพวัยเกษียณ มีรายได้ช่วงบั้นปลายและมีกิจกรรมทำ

แม้จะเข้าสู่วัยเกษียณแล้ว แต่หลายคนก็ยังรู้สึกว่าไม่อยากที่จะอยู่เฉยๆ ยังมีไฟมีแรงที่อยากทำนู่นทำนี่ที่ตัวเองอยากทำ แก้เหงาและยังมีรายได้ด้วย

ปลูกต้นไม้ ทำเกษตร อาจจะปลูกต้นไม้เล็กๆ เช่น แคคตัส หว่าน ไม้ประดับ หรืออาจจะเป็นผักสลัดก็ได้ เพราะต้นไม้ขนาดเล็กดูแลง่ายไม่้ต้องออกแรงมาก

นักเขียน หลายคนที่หยุดงานแล้วแต่สมองยังคงโลดแล่น จินตนาการไม่หยุด สามาราถถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นตัวหนังสือ ทั้งถ่ายทอดจินตนาการ หรือบางคนก็ถ่ายทอดประสบการณ์การทำงาน เดี๋ยวนี้การเขียนและการเผยแพร่ผลงานสามารถทำได้ง่ายในโลกออนไลน์ เช่น blog เขียนรีวิวเรื่องต่างๆ ที่ตนเองถนัด ไม่ต้องลงทุนตีพิมพ์เป็นเล่ม

โฮมสเตย์ บางท่านที่บ้านมีพื้นที่มาก มีห้องพักเหลือไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรก็ลองเอามาปล่อยเช่า นอกจากจะมีรายได้แล้วยังมีเพื่อนไว้พูดคุยแก้เหงาด้วย

เป็นที่ปรึกษา ให้กับหน่วยงาน องค์กร บริษัท โดยใช้ความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่มีตลอดการทำงานที่ผ่านมา พบว่าหลายๆ หน่วยงานมักจะเชิญคนวัยเกษียณมาเป็นที่ปรึกษา วิทยากร เพื่อช่วยแนะนำและตัดสินใจในเรื่องต่างๆ

เป็นตัวแทนประกัน เป็นงานหลังเกษียณที่เหมาะเพราะท่านจะมีเวลาใส่ใจดูแล และมีประสบการณ์ที่จะแนะนำได้

ช่างซ่อม หลายๆ ท่านที่มีความสามารถในงานช่าง งานซ่อม ได้ยกของได้ออกแรงบ้างก็จะช่วยให้ร่างการสดชื่น กระปรี้กระเปร่า

ขายภาพถ่ายออนไลน์ เป็นอาชีพที่อยู่ในกระแส เป็นที่นิยมสำหรับคนที่ชอบถ่ายรูป ปัจจุบันมีหลายเว็บไซต์

ขายของออนไลน์ ในยุคที่อินเตอร์เนทเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้ว การซื้อขายของออนไลน์เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นทุกวัน ท่าก็ลองมองหาสินค้าที่ท่านสนใจและคิดว่ามีคนสนใจ และลองเริ่มต้นด้วยเงินลงทุนไม่มาก

ทำอาหารหรือขนมขาย ท่านที่ชอบการเข้าครัว ทำอาหาร ทำขนมอยู่แล้ว ชอบทำให้ลูกๆ หลานๆ หรือคนข้างบ้านอยู่แล้ว ก็ลองทำเป็นอาชีพเลยก็น่าจะดีไม่น้อย

ทำงานฝีมือ งานศิลปะ หลายๆ ท่านที่ชอบทำงานฝีมือแต่ช่วงที่ทำงานอาจจะไม่ึค่อยมีเวลาทำ ก็ลองทำในช่วงนี้ที่มีเวลาเต็มที่แล้ว ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบและขายได้อีกด้วย

รับจ้างเลี้ยงเด็ก ผู้สูงอายุหลายคนมีประสบการณ์เลี้ยงลูกเลี้นงหลานมาก่อน จึงเข้าใจเด็กๆ เป็นอย่างดี การได้อยู่กับเด็กทำให้เราอายุเยาว์ตามเด็กไปด้วย

ลงทุน สำหรับคนที่มีเงินเก็บอยู่และอยากให้เงินงอกเงย แต่ก็ไม่สะดวกที่จะทำอะไรเอง ก็อาจจะเลือกการลงทุนผ่านตัวแทน กองทุน หรือลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาล สลากออมทรัพย์ เงินฝากประจำหรือตราสารหนี้ ก็ได้

► 3 เคล็ดลับผ่อนบ้านให้หมดเร็ว

1 : โปะเพิ่มทุกๆ เดือน
ก่อนซื้อบ้านหรือคอนโดทุกครั้ง จะแนะนำเสมอว่า ถ้าอยากผ่อนบ้านให้หมดไวๆ ต้องโปะไปอีกเท่าตัวเสมอถ้าทำได้ เช่น เราจะต้องผ่อน 12,000 บาท/เดือน ก็จ่ายธนาคารไปเป็น 24,000 บาทไปเลย เทคนิคนี้จะช่วยทำให้เราผ่อนบ้านหมดภายใน 8-9 ปีเท่านั้น จากเดิม 30 ปี การโปะเพิ่ม 1 เท่าจะช่วยทำให้เราผ่อนบ้านเสร็จเร็วได้มากกว่า 70%
แต่ถ้าใครคิดว่าวิธีนี้มันดูทรมานเกินไปหรืออยากผ่อนบ้านแบบมีความสุข ไม่กดดันตัวเองมากเกินไป ก็อาจจะไม่ต้องโปะเยอะขนาดที่บอกไปก็ได้ แต่อาจจะโปะเพิ่มขึ้น 10-20% ของเงินผ่อนไปทุกเดือนแทน เช่น โปะเพิ่ม 10% ก็ผ่อนเดือนละ 13,200 บาท และถ้าสิ้นปีมีโบนัส ก็อาจจะเอาเงินก้อนมาโปะไปบางส่วน ก็จะช่วยร่นระยะเวลาในการผ่อนบ้านของเราได้เช่นกัน

2 : พยายามรีบโปะในช่วงอัตราดอกเบี้ยต่ำๆ
ถ้าระยะยาวเราไม่สามารถโปะเพิ่มขึ้น 1 เท่า ไปได้ตลอด แนะนำว่าช่วงปกติตอน 1-3 ปีแรก อัตราดอกเบี้ยมักจะต่ำ มากหรือน้อยตามโปรโมชั่นของแต่ละธนาคาร และหลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ยจะพุ่งไปตาม MRR ในช่วงปีแรกๆ เราอาจเสียดอกเบี้ยแค่ 3-4% แต่หลังจากนั้นอาจจะกลายเป็น 5-8% ไปเลยก็ได้ เราจึงควรรีบโปะในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยต่ำๆ เพราะเงินต้นจะลดลงไปได้เยอะ เราก็ประหยัดดอกเบี้ยไปได้มากขึ้น ทำให้เราผ่อนหมดได้เร็วขึ้น แต่ถ้าเราไปโปะในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยสูงๆ เราอาจโปะไปแต่เงินต้นก็ไม่ได้ลดลงไปเท่าไหร่เลย

3 : รีไฟแนนซ์ (Refinance) หรือขอปรับอัตราดอกเบี้ยผ่อนบ้านหรือคอนโดกับธนาคารเดิม (Retention)
อธิบายการรีไฟแนนซ์ง่ายๆ คือ การไปกู้เงินจากธนาคารอื่นที่จ่ายดอกเบี้ยถูกกว่ามาจ่ายคืนธนาคารเดิมที่เคยกู้ เพราะเมื่อเราผ่อนครบ 3 ปี เราหมดโปรโมชั่นดอกเบี้ยต่ำกับธนาคารแล้ว ในปีที่ 4 ดอกเบี้ยจะลอยตัวขึ้นตาม แต่เราจะทำรีไฟแนนซ์ได้ตอนไหนอย่าลืมดูเงื่อนไขสัญญาที่ทำกับธนาคารก่อน ส่วนใหญ่จะทำได้ตอนหลัง 3 ปี หากเรารีไฟแนนซ์ก่อนระยะเวลาที่กำหนดในสัญญากู้ก็จะเสียค่าปรับ แบบนี้ถือว่าไม่คุ้ม
ทีนี้ตอนเราหาธนาคารใหม่ก็ทำเหมือนเดิม เหมือนตอนที่กู้ซื้อบ้านครั้งแรก คือ หาโปรโมชั่นจากแต่ละธนาคารมาเปรียบเทียบดูว่าธนาคารไหนดอกเบี้ยถูกที่สุด และถูกกว่าดอกเบี้ยที่เราจ่ายอยู่ปัจจุบัน เราก็ย้ายไปกู้กับธนาคารนั้น แต่อย่าลืมดูเงื่อนไขค่าธรรมเนียมและค่าจดจำนองด้วยว่าย้ายไปแล้วจ่ายน้อยลงจริงหรือไม่
แต่อีกสิ่งนึงที่อยากแนะนำสำหรับคนที่ผ่อนบ้านหรือคอนโด คือพยายามสร้างประวัติการผ่อนให้ดี เพราะหากเรามีประวัติการผ่อนดีอย่างน้อย 3 ปี เราสามารถเข้าไปคุยเพื่อปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้จ่ายถูกลงได้เลย โดยเราไม่ต้องไปรีไฟแนนซ์ เสียค่าธรรมเนียมค่าจดจำนองอีกครั้งกับธนาคารอื่น เราสามารถที่จะคุยขอลดดอกเบี้ยได้ ถ้าคุยดีๆ ไม่แน่อาจจะได้ดอกเบี้ยถูกกว่าย้ายไปรีไฟแนนซ์ธนาคารอื่นอีกด้วย ยิ่งเครดิตเราดีเท่าไหร่ เราก็สามารถที่จะต่อรองได้ง่ายขึ้นเท่านั้น

ที่มา
https://www.moneybuffalo.in.th
https://www.ddproperty.com
https://www.scb.co.th

► ทางเลือกของคนแพ้นมวัว

♥ อาการแพ้นม แบบเฉียบพลัน มักเกิดขึ้นหลังจากดื่มนมภายใน 15 นาที – 2 ชั่วโมง โดยมีอาการที่แตกต่างกันไป เช่น มีผื่นคัน ขึ้นตามผิวหนัง ลมพิษ ปากบวม ลิ้นบวม หายใจลำบาก ปวดท้อง หรืออาเจียน

♥ ถ้ารู้ว่าตัวเองแพ้ ให้งดดื่มนมวัวและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมวัวทุกชนิดอย่างน้อย 3-6 เดือนถึง 1 ปี แล้วลองกลับมาดื่มอีกครั้ง

♥ นมมีโปรตีนและแคลเซียมสูง หากต้องการรับประทานอาหารอื่นเพื่อทดแทนการดื่มนมควรเลือก อาหารที่มีโปรตีน เช่น ไข่ เนื้อสัตว์ หรือถั่วเมล็ดแห้ง หรืออาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น ปลาตัวเล็ก เต้าหู้ก้อน บรอกโคลี ผักกวางตุ้ง เป็นต้น

นมวัวเป็นแหล่งของโปรตีนและแคลเซียม มีประโยชน์กับคนทุกเพศ ทุกวัย แต่ก็พบว่าผู้บริโภคนมวัวบางกลุ่มจะมีอาการแพ้ ซึ่งสาเหตุหลักมักเป็นการแพ้โปรตีนจากนมวัว (cow’s milk allergy) ในปัจจุบันโรคแพ้นมวัวพบได้บ่อยและมีอาการแสดงหลากหลายรูปแบบ ซึ่งปฏิกิริยาในการแพ้นมวัวอาจเกิดจากกระบวนการทำงานของแอนติบอดี้ IgE mediated หรือ non IgE mediated หรืออาจเกิดจากทั้ง 2 อย่างร่วมกันได้ โดยสาเหตุอาจเกิดจากการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันตั้งแต่ในช่วงตั้งครรภ์ นอกจากนี้ยังพบโรคแพ้นมวัวได้บ่อยในช่วงวัยทารกอันอาจเกิดจากระบบการย่อยอาหารของทารกที่ยังไม่พัฒนาอย่างเต็มที่

ประวัติที่น่าสงสัยว่าแพ้นมวัว

  • มีโรคภูมิแพ้ของบุคคลในครอบครัว
  • มีอาการที่แสดงหลังจากเด็กดื่มนมวัว เช่น มีผื่นลมพิษ ปากบวมตาบวม ถ่ายมูกเลือด หายใจติดขัดดังครืดคราด หรือผื่นแพ้ผิวหนังที่มีอาการปานกลางถึงรุนแรง
  • มีประวัติว่าแม่ดื่มนมวัวในช่วงตั้งครรภ์มากกว่าปกติ ซึ่งโปรตีนในนมวัวอาจกระตุ้นให้ทารกเกิดการแพ้ได้
  • กรณีที่เด็กกินนมแม่อย่างเดียว ในขณะที่แม่ดื่มนมวัวมากกว่าปกติในช่วงให้นมบุตร
  • เด็กมีน้ำหนักน้อยกว่าปกติ หรือมีประวัติเปลี่ยนนมมาหลายยี่ห้อ แต่ยังมีอาการดังที่กล่าวไปข้างต้น

อาการแพ้นม
หากเป็นอาการเฉียบพลันที่เกิดจาก IgE mediated อาการจะเกิดขึ้นหลังจากดื่มนมวัวภายใน 15 นาที – 2 ชั่วโมง โดยจะมีอาการแพ้ซึ่งแต่ละคนจะมีอาการที่แตกต่างกันไป เช่น มีผื่นคันขึ้นตามผิวหนัง, ลมพิษ, ปากบวม, ลิ้นบวม, หายใจลำบาก, ปวดท้อง หรืออาเจียน เป็นต้น

ทำอย่างไรถ้ารู้ว่าแพ้นมวัว
ถ้ารู้ว่าตัวเองมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง แนะนำให้มาพบแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยและให้การรักษาที่ถูกต้อง และการปฏิบัติตัวที่ดีที่สุด คือ การงดดื่มนมวัวและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมวัวทุกชนิดอย่างน้อย 3-6 เดือน ถึง 1 ปี แล้วลองกลับมาทดลองดื่มใหม่ในปริมาณน้อย ๆ หากไม่ใช่อาการแพ้รุนแรง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเห็นของแพทย์

การป้องกันการแพ้นมวัว
ในเด็กเล็ก การดื่มนมแม่จะช่วยป้องกันการเกิดการแพ้อาหารได้เพราะเป็นการลดการสัมผัสโปรตีนแปลกปลอมจากนมผสม นอกจากนี้นมแม่ยังช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้อีกด้วย โดยไม่ควรงดนมวัวในกรณีที่ไม่มีอาการแพ้นมวัว เนื่องจากอาจทำให้มีความเสี่ยงต่อการขาดสารอาหารในเด็กได้โดยเฉพาะแคลเซียม
(ปริมาณแคลเซียมที่ต้องการตามอายุ ได้แก่ ทารกอายุ 0-5 เดือน ได้รับเพียงพอจากนมแม่เพียงอย่างเดียว, ทารกอายุ 6-11 เดือน 270 มิลลิกรัมต่อวัน, เด็กอายุ 1-3 ปี 500 270 มิลลิกรัมต่อวัน)

ทางเลือกอื่น ๆ สำหรับเด็กโตหรือผู้ใหญ่ที่แพ้นมวัว
ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์นมที่ได้จากพืชหลากหลายชนิด และสามารถหาซื้อได้ง่ายตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อต่าง ๆ เช่น

  • นมจากถั่วเหลือง (Soy milk) สามารถใช้เป็นทางเลือกหากแพ้นมวัว แต่ไม่แพ้ถั่วเหลือง โดยให้เลือกนมถั่วเหลืองที่มีการเสริมแคลเซียม เนื่องจากนมถั่วเหลืองจากธรรมชาติจะมีแคลเซียมต่ำ ข้อดีคือ ราคาไม่แพง หาซื้อได้ง่า
  • นมจากอัลมอนด์ (Almond milk) เป็นนมทางเลือกของกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการจำกัดปริมาณแคลอรีในแต่ละวันเพราะนมจากอัลมอนด์ ให้พลังงานที่ต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับนมวัวหรือนมถั่วเหลืองในปริมาณที่เท่ากัน อีกทั้งยังอุดมไปด้วยไขมันที่ดี และวิตามินอี แต่มีปริมาณโปรตีน และแคลเซียมน้อย ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องระวัง โดยเฉพาะการให้นมชนิดนี้กับเด็กอาจได้คุณค่าทางอาหารน้อย ดังนั้นควรอ่านฉลากโภชนาการก่อน และเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีการเสริมแคลเซียมด้วย
  • นมข้าวโพด (Corn milk) และนมจากข้าว (Rice milk) นมข้าวโพดและนมจากข้าวจะมีปริมาณโปรตีนไม่มากนักเมื่อเทียบกับนมวัว และเหมาะกับผู้บริโภคที่มีประวัติการแพ้ถั่ว หรืออัลมอนด์ อย่างไรก็ตามเพื่อให้การกินนมที่ไม่ใช่นมวัวนั้นมีคุณค่าทางสารอาหารมากขึ้น ผู้ผลิตบางรายก็มีการนำกระบวนการแปรรูปวัตถุดิบโดยใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณสารอาหารในนมข้าวโพดและนมจากข้าวให้มีมากขึ้น เช่น การเสริมแคลเซียม เป็นต้น

คุณประโยชน์ของนมจากพืชแต่ละชนิดจะมีความแตกต่างกันตามชนิดของพืช คุณภาพของวัตถุดิบ และกรรมวิธีการผลิต บางผลิตภัณฑ์ใช้วัตถุดิบในระยะที่มีสารอาหารสูง เช่น ใช้ข้าวในระยะงอก หรือการใช้เทคโนโลยีการแปรรูปวัตถุดิบให้คงปริมาณสารอาหารไว้ให้ได้มากที่สุด ดังนั้นก่อนการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ สิ่งสำคัญที่ต้องใส่ใจ คือ การอ่านฉลากข้อมูลทางโภชนาการ (Nutrition information) และส่วนประกอบ (Ingredients) อย่างละเอียดเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ และได้รับสารอาหารที่เพียงพอในแต่ละช่วงวัย อีกทั้งข้อควรระวังในการบริโภคนมจากพืช บางผลิตภัณฑ์มักมีปริมาณน้ำตาลสูง ควรเลือกสูตรหวานน้อยหรือไม่หวานเลย และควรให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารให้หลากหลาย และครบ 5 หมู่ เพื่อให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน

ที่มา https://www.samitivejhospitals.com
พญ. ธนิศา ขวัญบุญบำเพ็ญ / อนุสาขากุมารเวชศาสตร์โภชนาการ

► เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากต้นไม้จริงๆ

“แทนที่เราจะปลูกต้นไม้ปล่อยให้โตไปสัก 50 ปี แล้วค่อยโค่นมันเพื่อนำมาผลิตเป็นเฟอร์นิเจอร์ ผมจึงเกิดไอเดียว่าเรามาปลูกต้นไม้ในทรงที่เราต้องการเลยดีกว่า ปล่อยให้มันโตตามแบบของมัน พอเราจับมันเด็ดเข้าด้วยกัน เราก็จะได้เฟอร์นิเจอร์ชิ้นเดี่ยวแบบไร้รอยต่อ” – Gavin Munro

บนพื้นที่ 5 ไร่ ณ สวนแห่งหนึ่งในเมือง Derbyshire ประเทศอังกฤษ ถ้าบังเอิญเดินผ่านสวนแห่งนี้ คุณคงตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นต้นไม้ที่นี่ เติบโตมาโดยมีลำต้นรูปทรงแปลก ๆ อยู่หลายร้อยต้น แต่รู้ไหมว่าพวกมันกำลังจะเติบโตเป็น เก้าอี้, โคมไฟ และ โต๊ะ ในอนาคต

Gavin และ Alice Munro สองสามีภรรยาผู้เป็นเจ้าของสวนแห่งนี้ ทั้งคู่มีความต้องการที่จะทำธุรกิจอย่างยั่งยืนโดยใส่ใจสิ่งแวดล้อมและเพื่อนมนุษย์ “Farm furniture” จึงเป็นไอเดียที่ตอบโจทย์ โดยการผลิตเฟอร์นิเจอร์ของที่นี่ เรียบง่ายมาก เพียงแต่ต้องใช้ความใส่ใจและเวลาอย่างสูง

ทั้งคู่ได้ลองผิดลองถูกไปเรื่อย ๆ จนค้นพบว่า ก่อนจะดัดกิ่งให้เป็นทรงที่ต้องการ ต้องปล่อยให้ต้นไม้ได้เลื้อยไปตามสภาพแวดล้อม ได้เติบโตตามธรรมชาติในแบบของมัน ทั้งคู่ได้เปิดบริษัทชื่อ Full Grown ในปี 2013

“ขั้นตอนในการสร้างมันขึ้นมา คล้าย ๆ กับวิถี ZEN แบบ 3 มิติ” – คุณ Gavin กล่าว ด้วยขั้นตอนและวิธีการผลิตที่กว่าจะได้เก้าอี้สักตัว เฟอร์นิเจอร์สักชิ้น ต้องใช้ ฝีมือ แรงงาน ประสบการณ์ และเวลาอย่างมาก ต้นไม้บางต้นกว่าจะกลายมาเป็นเก้าอี้ให้เราได้นั่ง อาจจะต้องใช้เวลาถึง 10 ปีเลยทีเดียว

ส่วนใครที่สนใจซื้อเก้าอี้ของบริษัท Full Grown บอกเลยว่าอาจจะต้องรอนานหน่อย เพราะตอนนี้เก้าอี้ถูกจองไปจนถึงปี 2030 แล้ว

ที่มา https://www.facebook.com/pisamaifurniture

► 9 ต้นไม้มงคล แต่งบ้านสวย เสริมดวง

พลูด่าง
ไม้ประดับที่เรานิยมปลูกกันในบ้านอยู่แล้ว เพราะไม่ต้องการแสงแดดเยอะ ทั้งยังเลี้ยงง่ายไม่ว่าจะปลูกในน้ำหรือดิน นอกจากจะช่วยดูดซับสารพิษในอากาศได้ดี ยังช่วยเสริมสิริมงคลให้แก่ผู้ปลูกอีกด้วย ตามความเชื่อบอกว่าหากนำมาวางบริเวณโต๊ะทำงาน จะช่วยเสริมเรื่องการทำงานอย่างราบรื่น ไม่ติดขัด และทำให้อยู่เย็นเป็นสุข

กล้วยไม้
เป็นไม้ประดับที่มีสีสันสวยงาม และหลากหลายพันธุ์ให้เลือก ทั้งยังดูแลง่าย ซึ่งตามความเชื่อบอกว่ากล้วยไม้เป็นไม้มหาเสน่ห์ ที่ส่งเสริมเรื่องความเมตตากรุณา ช่วยสร้างความประทับใจแก่บุคคลทั่วไป และทำให้คนในบ้านมีจริยธรรมอีกด้วย

โกสน
ต้นโกสนเป็นไม้ยืนต้น สีสันสวยแปลกตา และยังช่วยเสริมความเป็นสิริมงคลอีกด้วย เพราะมีชื่อพ้องกับคำว่า ‘กุศล’ ซึ่งหมายถึงการสร้างบุญ ถ้านำมาปลูกไว้ในบ้านจะทำให้ครอบครัวมีความสงบสุข ร่มเย็น ปราศจากความขัดแย้ง

บอนสี
ไม้มงคลที่คนไทยนิยมปลูกกันมานานแล้ว อาจจะดูแลยากสักหน่อยแต่ด้วยรูปทรง สีสัน และความเชื่อที่บอกว่าหากปลูกไว้บริเวณบ้านจะส่งเสริมความสุข ความเจริญ และสมหวังแก่เจ้าของบ้าน หลายคนจึงเลือกที่จะนำพืชชนิดนี้มาประดับบ้านและดูแลเป็นอย่างดี

เศรษฐีพันล้าน
พืชอวบน้ำใบนุ่มนิ่ม ที่เชื่อกันว่าบ้านไหนที่ปลูกต้นเศรษฐีพันล้านนี้ จะช่วยเรื่องความเป็นสิริมงคลในครัวเรือน เสริมโชคลาภ และค้าขายร่ำรวย เป็นไม้ที่เลี้ยงดูง่าย ชอบแดดรำไร เหมาะแก่การปลูกประดับบ้านหรือที่ทำงานเพื่อเสริมความมงคล

โป๊ยเซียนแคระ
พืชตระกูลเดียวกับโป๊ยเซียนต้นใหญ่ที่คนไทยเคยนิยมปลูกกันไว้หน้าบ้าน แต่มาในไซซ์เล็กน่ารัก สามารถวางประดับไว้บนโต๊ะทำงานได้ นอกจากจะเลี้ยงง่ายแล้ว ยังมีความเชื่อว่าโป๊ยเซียนเป็นต้นไม้ของเทพเจ้าทั้ง 8 ซึ่งถ้าเลี้ยงจนออกดอกได้ 8 ดอกขึ้นไป จะทำให้มีโชคลาภ อยู่เย็นเป็นสุขมากขึ้น

กวักมรกต
กวักมรกตเป็นไม้ประดับเลี้ยงง่ายตายยาก เหมาะสำหรับนักปลูกมือใหม่ ทั้งช่วยกรองอากาศ ดูดซับสารพิษ ตามความเชื่อบอกว่าจะช่วยกวักเงินกวักทองเข้ามาเหมือนกับชื่อนั่นเอง และถ้าปลูกจนมีดอกให้เห็น จะยิ่งร่ำรวยมากขึ้นไปอีกเชียวล่ะ

ไผ่กวนอิม
พันธุ์ไม้ยืนต้นที่มีลำต้นกลมและเป็นข้อ ขนาดไม่ใหญ่เทอะทะ ดูแลง่าย นิยมเอามาปลูกตกแต่งบ้านและเสริมฮวงจุ้ย หากนำมาประดับโต๊ะทำงานก็จะช่วยเสริมโชคลาภ นำพาเงินทองมาสู่เจ้าของ ตามความเชื่อยังบอกอีกว่าถ้าปลูกไผ่กวนอิมจำนวน 2 ต้น จะส่งเสริมเรื่องความรักและชีวิตคู่ด้วยนะ

ข้อมูลจาก
https://www.dnmtrades.com
https://www.thairath.co.th
https://chiangmaigardens.com
https://tonkit360.com

https://www.timeout.com

► 5 ท่า ออกกำลังกาย ลดพุง ทำหน้าท้อง ให้แบนราบ

1.ท่า Mountain climber ท่านี้คนที่เคยปีนเขาอยู่แล้วคงจะคุ้นเคยดี เพียงแต่เปลี่ยนการปีนเขาแนวตั้งมาเป็นแนวราบแทน ซึ่งการบริหารท่านี้ช่วยบริหาร หน้าท้องส่วนล่างโดยเฉพาะ และช่วยตรงบริเวณต้นขาด้วย สำหรับการฝึกนั้นให้คุณทำทั้งหมด 3 เซต โดยเริ่มต้นทำท่าเหมือนจะวิดพื้น เกร็งหน้าท้องแล้วเอาเข่าขวาดึงเข้ามากลางตัว ขณะที่ตัวต้องตรงตลอด สลับด้านซ้ายเข้ามาเหมือนที่ทำด้านขวา สลับกันไปมา ขณะที่คุณดึงขาเข้ามาให้พยายามเหวี่ยงขานั้นไปฝั่งตรงข้าม จะรู้สึกต้านๆ หน่อย และทำการบิดตัวที่ท้องด้านข้าง 10 -15 ครั้งต่อเซต

2.ท่า Hip Lift ท่านี้เหมาะสำหรับการบริหารหน้าท้อง เพื่อลดพุงตรงบริเวณหน้าท้องด้านล่าง ต้นขา และบริเวณสะโพกพร้อมกัน สำหรับการฝึกนั้น เริ่มด้วยการนอนหงาย เอามือทั้งสองข้างวางชิดลำตัว ขาทั้งทั้งข้างชิดกัน จากนั้นให้ยกขาทั้งสองข้างตั้งขึ้นด้าน แล้วยกสะโพกให้ลอยขึ้นจากพื้น ค้างไว้เป็นเวลา 3 วินาที แล้วคุณค่อยวางสะโพกลง ทำ 10 ครั้ง ทั้งหมด 3 เซต

3.ท่า V Upsท่านี้มีคล้ายกับท่าเรือในการเล่นโยคะ แตกต่างกันที่ ท่านี้ให้คุณทำขึ้นลง ไม่ต้องค้างท่าไว้นานเหมือนโยคะ ท่านี้จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องส่วนบน ส่วนกลาง และส่วนล่าง ไปพร้อมๆ ขั้นตอนการฝึก เริ่มจากนอนหงายราบกับพื้น มือทั้งสองวางที่เหนือศรีษะ ให้ต้นแขนแนบที่หู ขาทั้งสองข้างเหยียดตรง แล้วค่อยๆ ยกตัวและขาขึ้นให้เป้นรูปตัววี แล้ววางตัวลงนอนราบท่าเตรียมเหมือนเดิม ให้คุณทำ 10 ครั้งต่อเซต ทั้งหมด 3 เซต

4.ท่า Plank เป็นอีกท่าหนึ่งที่ช่วยลดพุงและหน้าท้องได้ดี เพราะเป็นการบริหารร่างกายทุกส่วน โดยเฉพาะตรงแกนกลางลำตัว ทำให้ทุกส่วนของร่างกายแข็งแรง และได้กล้ามเนื้อด้วย ขั้นแรกให้คุณนอนคว่ำก่อน แขนแนบลำตัว แล้วเอาศอกตั้งขึ้นฉาก เหยียดเท้าให้ตรง แล้วยันตัวของคุณให้พ้นจากพื้น โดยให้ตรงหลังและเข้าเหยียดตรง ค้างไว้ 30 วินาที หรือหากทำมาสักระยะหนึ่งแล้วค่อยๆ ขยับจาก 30 วินาทีเป็นหนึ่งนาทีหรือเวลามากว่านั้นก็ได้

5.ท่า Crunches เป็นท่าที่ลดพุงได้ดีอีกท่า คล้ายกับการเล่นซิตอัพ แต่เป็นการยกตัวแค่ช่วงบน เพื่อให้หน้าท้องแข็งแรงพุงยุบ ท่านี้นอนหงานราบกับพื้นก่อน มือประสานกันที่ท้ายทอยวางใต้ศรีษะ แล้วชันเข่า ให้คุณยกมือและศรีษะขึ้นพร้อมกัน เกร็งหน้าท้อง แล้วค่อยวางตัวราบท่าเตรียมทำ 3 เซตๆ ละ 10 ครั้ง

ข้อมูลจาก : howtoeasy