เดือน: มิถุนายน 2021

► 10 สถานที่ท่องเที่ยวเกี่ยวกับหินในไทย ที่ธรรมชาติรังสรรค์อย่างลงตัว

-มอหินขาว จังหวัดชัยภูมิ
“มอหินขาว” หรือสโตนเฮนจ์เมืองไทย กลุ่มเสาหินทรายสีขาวขนาดใหญ่ ตั้งโดดเด่นบนลานหญ้ากว้างบริเวณเนินเขา ภายในอุทยานแห่งชาติภูแลนคา เกิดจากการสะสมของตะกอนทรายแป้งและดินเหนียวจากทางน้ำ เมื่อมีความเปลี่ยนแปลงของแผ่นเปลือกโลกเมื่อ 65 ล้านปีก่อน ทำให้มีการแตกหัก ผุพัง และการกัดเซาะ จนกลายเป็นเสาหินสูงใหญ่ 5 เสา รูปทรงประหลาดบนเนินเขาอย่างที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน

-สามพันโบก จังหวัดอุบลราชธานี
แลนด์มาร์กชื่อดังของจังหวัดอุบลราชธานี เจ้าของฉายา “แกรนด์แคนยอนเมืองไทย” ที่จะโผล่มาให้ได้ยลโฉมเพียงแค่ช่วงระยะเวลาฤดูแล้งที่แม่น้ำโขงลดลงเท่านั้น เกิดจากการกัดเซาะของแรงน้ำวน เมื่อนับดูแล้วมีจำนวนมากกว่า 3,000 แอ่ง ซึ่งคำว่า “แอ่ง” ในภาษาท้องถิ่นจะเรียกว่า “โบก” จึงเป็นที่มาของคำว่า “สามพันโบก” นั่นเอง

-แพะเมืองผี จังหวัดแพร่
แหล่งเรียนรู้ทางธรณีวิทยาที่สำคัญของจังหวัดแพร่ ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่เกิดจากการทับถมกันของดินตะกอนแม่น้ำนานนับล้านปี โดยลักษณะการเกิดของเสาหิน เกิดจากกรวด หิน ดิน ทราย เกาะจับตัวกัน ยังไม่แน่นแข็งเต็มที่ ประกอบด้วยชั้นหินทรายละเอียดและชั้นหินทรายสลับกันเป็นชั้น ๆ แต่ละชั้นมีความต้านทานต่อการผุพังไม่เท่ากัน เมื่อถูกน้ำฝนชะซึมชั้นหินที่มีความต้านทานต่อการผุพังน้อยกว่าก็จะถูกชะล้าง กัดกร่อน เหลือชั้นที่มีความต้านทานต่อการผุพังมากกว่า ส่วนที่เหลือจึงเกิดเป็นแท่ง เป็นหย่อม และมีรูปร่างแตกต่างกันออกไปดังเช่นปัจจุบัน

-ละลุ จังหวัดสระแก้ว
“ละลุ” ในภาษาเขมร แปลว่า “ทะลุ” ที่นี่เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดจากน้ำฝนกัดเซาะ ยุบตัว หรือพังทลายของดิน เนื่องจากสภาพดินแข็งจะคงอยู่ไม่ยุบตัว เมื่อถูกลมกัดกร่อนจึงมีลักษณะเป็นรูปต่างๆ มองคล้ายกำแพงเมือง หน้าผา บ้างมีลักษณะเป็นแท่งๆ

-คลองหินดำ จังหวัดชุมพร
แกรนด์แคนยอนแห่งชุมพร มีลักษณะเป็นแนวกำแพงหินทั้งสองข้างที่เกิดจากการกัดเซาะของลำธารมายาวนาน จนเกิดเป็นลำธารที่มีความกว้างประมาณ 5-10 เมตร ไหลผ่านรอยแยกของหิน ในลักษณะลัดเลาะคดเคี้ยวไป-มา ระยะทางยาวมากกว่า 1 กิโลเมตร และมีแก่งหินสูงมากกว่า 3-5 เมตร โดยรอบมีต้นไม้หายากน้อยใหญ่ตั้งอยู่มากมาย บรรยากาศร่มรื่น ซึ่งในช่วงฤดูน้ำลดสามารถลงเล่นน้ำได้

-กองแลน จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ฉายา “ปายแคนยอน” เพราะธรรมชาติได้สร้างความมหัศจรรย์ให้เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ มีลักษณะเป็นภูเขาหินรูปร่างต่าง ๆ ที่เกิดจากการยุบตัวของภูมิประเทศ บางส่วนยุบมากก็กลายเป็นเหวลึก และบางส่วนก็กลายเป็นแนวสันเขาที่มีความกว้างพอให้คนเดินได้ ที่นี่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบความสนุกสนาน ตื่นเต้นจากการเดินเลียบเลาะวนรอบเขา

-ผาช่อ จังหวัดเชียงใหม่
มีลักษณะเป็นหน้าผาหินตกตะกอน สูงประมาณ 30 เมตร กว้างราว ๆ 100 เมตร ที่ตัวหน้าผามีลวดลายลักษณะที่สวยงามแปลกตา มีริ้วลายของหินคล้ายกับผ้าม่าน สันนิษฐานว่าบริเวณนี้เคยเป็นแม่น้ำปิงมาก่อน ต่อมาธรณีแปรสัณฐาน และได้ดันชั้นตะกอนบริเวณขอบแอ่งของแม่น้ำ ซึ่งเป็นตะกอนในยุคเทอร์เชียรี มีอายุประมาณ 5 ล้านปี ขึ้นมา เมื่อโดนทั้งลม ฝน ฯลฯ กัดเซาะจึงกลายเป็นลวดลายที่สวยงามอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ซึ่งยังคงทิ้งร่องรอยการกัดเซาะจนกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่น่าตื่นตาตื่นใจ

-ลานหินปุ่ม – ลานหินแตก (ภูหินร่องกล้า) จังหวัดพิษณุโลก
ลานหินปุ่ม : อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานประมาณ 4 กิโลเมตร อยู่ริมหน้าผาลักษณะเป็นลานหินผุดขึ้นเป็นปุ่มไล่เลี่ยกัน สูงประมาณ 1 ฟุต เกิดจากการสึกกร่อนตามธรรมชาติของหินทางเคมีและฟิสิกส์ ประกอบกับการขัดเกลาของกระแสลมและสายฝน


ลานหินแตก : อยู่ห่างจากฐานพัชรินทร์ ประมาณ 300 เมตร มีลักษณะเป็นหินที่มีรอยแตกเป็นแนวเป็นร่องเหมือนแผ่นดินแยก สันนิษฐานว่าอาจจะเกิดจากการโก่งตัวหรือเคลื่อนตัวของผิวโลก

-เกาะหินงาม จังหวัดสตูล
เกาะเล็ก ๆ กลางทะเลอันดามัน ตั้งทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะอาดัง ไกลออกไปประมาณ 2.5 กิโลเมตร ความโดดเด่น คือ ชายหาดที่ทรายถูกแทนที่ด้วยก้อนหินสีดำเงางามสุดลูกหูลูกตา ก้อนหินกลมเกลี้ยงเนียนเรียบ ลวดลายสวยงาม ขนาดเล็ก-ใหญ่แตกต่างกันไป

-หินสามวาฬ (ภูสิงห์) จังหวัดบึงกาฬ
Unseen จังหวัดบึงกาฬที่หลายคนอยากไปเยือนสักครั้ง ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อนุรักษ์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงดิบกะลา ป่าภูสิงห์ และป่าดงสีชมพู มีลักษณะเป็นหินขนาดใหญ่ติดหน้าผาสูง แยกตัวเป็น 3 ก้อน มีอายุประมาณ 75 ล้านปี หนึ่งเดียวของโลก เมื่อมองดูจากระยะไกล หิน 3 ก้อนนี้จะดูคล้ายกับฝูงครอบครัววาฬ

ข้อมูลจาก
https://travel.kapook.com/view221049.html
https://www.tripniceday.com
https://www.museumthailand.com
https://www.isangate.com
https://cbtthailand.dasta.or.th
https://www.siameagle.com
https://www.sscarrent.com

► 9 ซุ้มหินธรรมชาติ สวยงามระดับโลก

-El Arco de Cabo San Lucas ประเทศเม็กซิโก
ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของคาบสมุทรบาจา แคลิฟอร์เนีย ในประเทศเม็กซิโก ความงดงามอยู่ที่หินแกรนิตความสูงกว่า 200 ฟุต ที่ถูกน้ำทะเลกัดเซาะเป็นแนวโค้งที่สวยงามราวกับว่าเป็นอุโมงค์ในท้องทะเลเลย เป็นจุดดึงดูดให้นักท่องเที่ยวแวะเวียนกันมาดำน้ำ พายเรือคายัก เล่นเจ็ตสกี รวมถึงชมความงดงามในยามที่พระอาทิตย์ใกล้ตก

-The Rock of Raouche ประเทศเลบานอน
มีลักษณะเป็นผาหินยักษ์ที่หันหน้าเข้าหากันและตั้งตระหง่านอยู่ริมทะเล จึงดูคล้ายกับยามรักษาการณ์ที่คอยสอดส่องผู้มาเยือนอย่างไรอย่างนั้นเลย โดยส่วนใหญ่ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวนิยมมาเดินริมแนวผาเพื่อสัมผัสลมทะเลเย็นๆ และวิวสวยๆ ของโค้งใต้ผาหิน ในช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตก

-Cathedral Cove ประเทศนิวซีแลนด์
ตั้งอยู่บนชายหาดบริเวณคาบสมุทรโคโรแมนเดล ในประเทศนิวซีแลนด์ ได้รับการขนานนามว่าเป็นโค้งหินที่ศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากมีขนาดใหญ่มหึมาบวกกับบรรยากาศอันเงียบสงบ ชายหาดสวยงามและสะอาดตา นักท่องเที่ยวจึงนิยมมาดื่มด่ำกับความงามที่ธรรมชาติสร้างสรรค์

-London Arch ประเทศออสเตรเลีย
แม้จะมีชื่อว่า London Arch แต่ไม่ได้อยู่ในประเทศอังกฤษ แต่ตั้งอยู่ที่อุทยานแห่งชาติพอร์ต แคมป์เบล (Port Campbell National Park) ในวิกตอเรียของประเทศออสเตรเลีย สาเหตุที่ตั้งชื่อว่า London Arch ก็เพราะผาหินดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกับสะพานลอนดอนหรือสะพานข้ามแม่น้ำเทมส์ แต่เป็นที่น่าเสียดายไม่น้อยที่บางส่วนถูกน้ำกัดเซาะจนพังเหลือไว้เพียงผาหินที่ตั้งโดดเดี่ยวอยู่ริมทะเลอย่างทุกวันนี้

-Durdle Door สหราชอาณาจักร
อีกหนึ่งโค้งหินสวยแปลกตาที่ตั้งอยู่ใกลกับมณฑลดอร์เซต (Dorset) ของประเทศอังกฤษ ด้วยรูปทรงที่ต่างจากแนวโค้งหินอื่นจึงทำให้ถูกจินตนาการไปต่าง ๆ นานา ว่าคล้ายสัตว์ที่กำลังก้มหน้าไปดื่มน้ำทะเล บ้างก็ว่าคล้ายกับไดโนเสาร์ เนื่องจากว่าชายฝั่งซึ่งเป็นที่ตั้งของ Durdle Door ถูกเรียกว่า Jurassic Coast หรือชายฝั่งไดโนเสาร์ ซึ่งเป็นเหตุมาจากการพบซากฟอสซิลไดโนเสาร์บริเวณนี้เป็นจำนวนมาก

-Pont d’Arc ประเทศฝรั่งเศส
ซุ้มหิน Pont d’Arc ถือเป็นอีกหนึ่งสีสันความสวยงามที่ธรรมชาติสร้าง ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นที่ซึ่งถูกเรียกว่า Vallon-Pont-d’Arc ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องความงดงามของหินปูนที่ถูกกัดเซาะโดยแม่น้ำ Ardeche อีกทั้งยังเป็นเหมือนซุ้มหินยักษ์ที่นักท่องเที่ยวต้องลอดข้ามหากต้องการไปยังอีกฝั่งโดยไม่มีทางเลือกอื่น

-Double Arch สหรัฐอเมริกา
ว่ากันว่าซุ้มหินธรรมชาติในสหรัฐอเมริกามีมากกว่าที่อื่น ๆ โดยเฉพาะในอุทยานแห่งชาติ Arches National Park ที่มีซุ้มหิน Double Arch ซึ่งถูกน้ำกัดเซาะจนกลายเป็นซุ้มหินขนาดใหญ่ ถ้ายังจำกันได้กับภาพยนตร์เรื่องอินเดียน่า โจนส์ ตอนศึกอภินิหารครูเสด คุณจะพบว่า Double Arch ถูกใช้เป็นฉากเปิดตัวของภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย เรียกว่าสวยงามแล้วยังมีเรื่องราวอันน่าสนใจด้วย

-The Azure Window ประเทศมอลตา
ใครที่ต้องการไปสัมผัสกับความสวยงามของซุ้มหิน The Azure Window ที่ประเทศมอลตา ก็คงต้องรีบกันหน่อย เพราะยิ่งกาลเวลาผ่านไปนานเท่าไรก็ยิ่งถูกกัดเซาะด้วยน้ำทะเลมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่ารูปร่างและรูปทรงของซุ้มหินก็ต้องเปลี่ยนตามไปด้วย จุดเด่นของ The Azure Window อยู่ที่องค์ประกอบรอบด้านที่ล้อมรอบ ทั้งน้ำทะเลสีครามและผาหินอื่นๆ รอบด้านที่รวมอยู่ด้วยกันซึ่งทำให้ภาพออกมาสวยงามและลงตัวยิ่งขึ้น

-Shipton’s Arch ประเทศจีน
ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือในมณฑล Kashgar ในเขตการปกครองซินเจียงอุยกูร์ ถูกค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 1947 โดย Eric Shipton นักไต่เขาชาวอังกฤษ เป็นที่มาของชื่อซุ้มหิน Shipton’s Arch นอกจากนี้ยังเป็นซุ้มหินธรรมชาติที่สูงที่สุดในโลก แม้จะไม่มีทะเลล้อมรอบเหมือนซุ้มหินที่อื่น ๆ แต่การได้อยู่ท่ามกลางขุนเขาและเมฆหมอกบาง ๆ ก็ถือเป็นอีกมุมสุดโรแมนติ

ข้อมูลจาก https://travel.kapook.com/view94559.html

► ทอมัส เอดิสัน ผู้ประดิษฐ์หลอดไฟ

โทมัส อัลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison) เป็นนักประดิษฐ์คนสำคัญของโลก ผลงานของเขาได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนให้เป็นสังคมสมัยใหม่ ส่วนใหญ่ผู้คนมักจะรู้จักเอดิสันในฐานะผู้ประดิษฐ์หลอดไฟ แต่ที่จริงแล้วผลงานการประดิษฐ์ของเขามีมากมายเหลือเชื่อ เช่น เครื่องบันทึกเสียง กล้องถ่ายภาพยนตร์ เครื่องเล่นจานเสียง แบตเตอรี่ และเครื่องมือเครื่องใช้เทคโนโลยีอื่นอีกเป็นพันชิ้น เอดิสันเป็นเจ้าของสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์มากถึง 1,093 ชิ้น นอกจากนี้เขายังเป็นนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จ เอดิสันเป็นเจ้าของบริษัทที่มีชื่อเขาเป็นชื่อบริษัทถึง 13 บริษัท รวมทั้งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเจเนอรัลอิเล็กทริก (General Electric Company) หรือ GE บริษัทมหาชนด้านไฟฟ้าขนาดใหญ่ของโลก เอดิสันเป็นตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จด้วยความอุตสาหะขยันหมั่นเพียร และได้รับการยกย่องให้เป็นสุดยอดนักประดิษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลก

เด็กขายของบนรถไฟผู้รักการทดลอง

เอดิสัน เป็นชาวอเมริกา เกิดเมื่อปี 1847 ที่เมืองมิลาน รัฐโอไฮโอ ตอนเด็กเขาเป็นโรคผื่นแดงและติดเชื้อในหูทำให้มีปัญหาการได้ยินทั้งสองข้างจนเกือบเป็นคนหูหนวก พอมีอายุได้ 7 ปีครอบครัวของเอดิสันที่ธุรกิจซบเซาได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองพอร์ตฮูรอน รัฐมิชิแกน เขามีโอกาสเรียนหนังสือในโรงเรียนเพียง 3 เดือน เนื่องจากเขาไม่สนใจเนื้อหาในตำราเรียน แต่ไปสนใจในสิ่งต่างๆรอบตัวที่ไม่มีในตำรา เขาจึงเป็นเด็กมีปัญหาในสายตาของคุณครู แม่ของเขาจึงให้ออกจากโรงเรียนและเธอเป็นผู้สอนหนังสือเขาเอง เอดิสันศึกษาด้วยตัวเองด้วยการอ่านหนังสือ เขาสนใจด้านวิทยาศาสตร์และชอบการทดลองเป็นพิเศษ พ่อแม่สนับสนุนเขาโดยสร้างห้องใต้ดินเพื่อให้เอดิสันได้ทำการทดลองต่างๆในหนังสือ และเขาก็ได้ทำการทดลองมากมายในห้องใต้ดินนั้น

ตอนมีอายุ 12 ปีเอดิสันได้งานทำเป็นเด็กขายของบนรถไฟที่วิ่งระหว่างเมืองพอร์ตฮูรอนและเมืองดีทรอยต์ เขาขายหนังสือพิมพ์ ลูกกวาดและผัก เอดิสันได้ใช้ตู้รถไฟตู้หนึ่งเป็นที่พัก เก็บสารเคมี และหนังสือเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เขามักใช้เวลาว่างส่วนใหญ่อยู่ในห้องพักเพื่ออ่านหนังสือ และทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เมื่อเอดิสันทำงานเก็บเงินได้จำนวนหนึ่ง เขานำเงินไปซื้อแท่นพิมพ์เล็กๆเครื่องหนึ่ง และผลิตหนังสือพิมพ์ที่มีเขาเป็นเจ้าของบรรณาธิการ นักเขียน และพนักงานขาย ชื่อว่า Grand Trank Herald ซึ่งขายดีทีเดียว เอดิสันนำเงินกำไรที่ได้ไปซื้ออุปกรณ์ในการทดลองวิทยาศาสตร์ สารเคมี และหนังสือวิทยาศาสตร์ แต่วันหนึ่งเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ขณะที่เขากำลังทำการทดลองรถไฟเกิดกระชากอย่างแรงทำให้แท่งฟอสฟอรัสตกกระแทกพื้น แล้วเกิดระเบิดอย่างแรง ทำให้ไฟไหม้ตู้รถไฟของเขา ถึงจะเกิดความเสียหายไม่มากนักแต่เขาถูกคนคุมขบวนรถไฟตบเข้าที่หูจนหูแทบพิการ พร้อมกับถูกไล่ออกจากงาน

มุ่งสู่เส้นทางของนักประดิษฐ์

ชะตาชีวิตลิขิตทางเดินของคน วันหนึ่งเอดิสันได้ช่วยชีวิตเด็ก 3 ขวบจากการถูกรถไฟทับ เผอิญเด็กคนนั้นเป็นลูกชายของนายสถานีรถไฟ เขาได้ตอบแทนเอดิสันด้วยการสอนวิธีการส่งโทรเลขจนชำนาญ ทำให้เขาได้งานเป็นคนส่งโทรเลขอยู่นานหลายปี พอมีเวลาว่างเอดิสันก็จะศึกษาและทดลองทางวิทยาศาสตร์เพิ่มเติม โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีโทรเลข จนเขามีความรู้ทางวิศวกรรมไฟฟ้าเป็นอย่างดี

ปี 1866 ขณะอายุ 19 ปี เอดิสันย้ายไปอยู่ที่เมืองลุยส์วิลล์ รัฐเคนทักกี ทำงานเป็นพนักงานของบริษัท Western Union อยู่ในสำนักข่าว เขาเลือกทำงานกะกลางคืนเพื่อให้มีเวลาเต็มที่สำหรับการศึกษาและการทดลองที่เขาชอบ และมันก็สร้างปัญหาให้กับเขาอีกครั้งจนได้ คืนหนึ่งในปี 1867 เขาทดลองเกี่ยวกับแบตเตอรี่ แล้วทำน้ำกรดหกใส่พื้น มันไหลลงไปที่โต๊ะเจ้านายข้างล่าง วันรุ่งขึ้นเขาถูกไล่ออก เอดิสันจึงต้องพบกับความลำบากไม่มีเงินและไม่มีงานทำ ยังดีที่เพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งที่เป็นนักประดิษฐ์ชื่อ Franklin Leonard Pope ให้เขาไปพักและทำงานอยู่ในห้องใต้ดินที่บ้านของเขา ปี 1869 เอดิสันในวัย 22 ปีย้ายไปอยู่ที่นิวยอร์ก และประสบความสำเร็จกับสิ่งประดิษฐ์ชิ้นแรกคือเครื่องพิมพ์ข้อมูลราคาหุ้นซึ่งขายลิขสิทธิ์ได้เงินมากพอสมควร และทำให้เขาตัดสินใจเลิกทำงานอย่างอื่นมุ่งหน้าเป็นนักประดิษฐ์อย่างเต็มตัว

เปลี่ยนโลกด้วยผลงานประดิษฐ์หลอดไฟ

ปี 1878 เอดิสันศึกษาค้นคว้าเพื่อประดิษฐ์หลอดไฟซึ่งเขาหวังจะนำมาแข่งกับตะเกียงแก๊สและตะเกียงน้ำมัน เริ่มจากหาวิธีสร้างหลอดไส้ร้อน (incandescent lamp) ให้มีอายุการใช้งานนานขึ้น มีนักประดิษฐ์ในยุคนั้นจำนวนมากที่ได้พัฒนาหลอดไฟฟ้าแต่ไม่สามารถนำมาใช้งานได้เนื่องจากมีอายุใช้งานสั้นมาก มีราคาแพง และกินไฟมาก เอดิสันตระหนักดีว่าเขาต้องสร้างหลอดไฟที่ใช้กระแสไฟฟ้าต่ำและพยายามค้นหาตัวนำที่สามารถทนความร้อนได้สูง เอดิสันทดลองกับวัสดุต่างๆที่จะนำมาใช้เป็นไส้หลอดนับหมื่นชนิด และในปี 1879 เอดิสันก็พบว่าเมื่อนำเส้นใยที่ทำด้วยฝ้ายมาทำเป็นด้ายแล้วนำมาเผาไฟจะได้ถ่านคาร์บอนที่ทนความร้อนได้สูง จากนั้นจึงนำมาบรรจุไว้ในหลอดสูญญากาศ หลอดไฟของเอดิสันสามารถให้แสงสว่างได้นานถึง 40 ชั่วโมง เอดิสันได้จดสิทธิบัตรหลอดไฟไส้คาร์บอนและออกแบบสวิตช์เปิด-ปิดหลอดไฟให้ติดตั้งในบ้านเรือนได้ง่าย นับเป็นจุดเริ่มต้นของหลอดไฟบนโลกใบนี้ ปี 1880 เอดิสันเปลี่ยนไส้หลอดไฟจากคาร์บอนเป็นไม้ไผ่ญี่ปุ่นซึ่งสามารถส่องสว่างได้นานถึง 900 ชั่วโมง

เอดิสันไม่หยุดอยู่แค่เพียงการประดิษฐ์หลอดไฟ ปี 1882 เขาเดินทางกลับมานิวยอร์กอีกครั้งหนึ่งและได้ตั้งบริษัท Edison Electric Light Company เพื่อสร้างโรงจ่ายกระแสไฟฟ้า โดยการนำไดนาโมของไมเคิล ฟาราเดย์ (Michael Faraday) มาปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จากนั้นได้วางสายไฟฟ้าไปทั่วเมืองนิวยอร์ค ทำให้ทุกคนได้มีโอกาสได้ใช้ไฟฟ้ากันอย่างทั่วถึง นับว่าเอดิสันเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกกิจการไฟฟ้าในประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้เขายังสร้างเครื่องวัดกระแสไฟฟ้าและสายดินเพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าอีกด้วย กิจการของเอดิสันดำเนินไปได้ด้วยดีทั้งการขายหลอดไฟฟ้าและขายกระแสไฟฟ้า เอดิสันได้ปรับปรุงหลอดไฟให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปี 1883 เขาประดิษฐ์หลอดไฟรุ่นใหม่ที่ใช้ในครัวเรือนทั่วไปได้ ทำให้หลอดไฟแพร่กระจายไปตามจุดต่างๆของโลกเร็วขึ้น

สุดยอดนักประดิษฐ์ของโลก

ปี 1891 เขาประดิษฐ์เครื่องบันทึกภาพเคลื่อนไหวสำเร็จซึ่งนำไปสู่การสร้างภาพยนตร์ อีก 2 ปีต่อมาเอดิสันได้สร้างโรงถ่ายภาพยนตร์แห่งแรกของโลก ต่อมาเขาได้นำเครื่องบันทึกภาพเคลื่อนไหวมารวมกับเครื่องบันทึกเสียงซึ่งเขาเป็นคนประดิษฐ์เองกลายเป็นเครื่องถ่ายทำภาพยนตร์​ ปี 1898 เอดิสันเริ่มประดิษฐ์แบตเตอรี่ที่ทำจากนิกเกิลและเหล็กและทำสำเร็จในปี 1909 ใช้เวลานานถึง 11 ปี

นอกจากนี้เอดิสันยังมีผลงานสิ่งประดิษฐ์เทคโนโลยีอีกมาก เช่น เครื่องเล่นจานเสียง เครื่องขยายเสียง​ เครื่องอัดสำเนา และสิ่งประดิษฐ์อื่นๆอีกนับพันชิ้น เอดิสันเป็นนักประดิษฐ์ที่มีผลงานมากที่สุดในยุคนั้น เขามีสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ภายใต้ชื่อของเขาเป็นจำนวนถึง 1,093 ชิ้น แม้ส่วนใหญ่เขาไม่ได้เริ่มคิดค้นขึ้นมาเอง แต่เป็นการพัฒนาจากสิ่งประดิษฐ์ที่คิดค้นขึ้นโดยลูกจ้างของเขา เพราะเหตุนี้ทำให้เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องการอ้างผลงานเป็นของตัวเองแต่ผู้เดียวอยู่เสมอ

จากผลงานการประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้เทคโนโลยีอย่างมากมายเหลือเชื่อ เอดิสันจึงได้รับยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะในด้านนี้ แต่ตัวเขาเองกลับบอกว่าความสำเร็จของเขามาจากความพยายามมากกว่า วาทะเด็ดของเขาอย่างเช่น “อัจฉริยะเกิดจากแรงบันดาลใจเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ และอีก 99 เปอร์เซ็นต์คือความอุตสาหะ” หรือ “ผมไม่ได้ล้มเหลวนะ ผมเพิ่งจะพบ 10,000 วิธีที่มันใช้ไม่ได้” เป็นสิ่ง​ยืนยันได้เป็นอย่างดี

เอดิสันแต่งงานกับ Mary Stilwell ในปี 1871 มีลูกด้วยกัน 3 คน Mary เสียชีวิตตอนอายุยังน้อยด้วยโรคมะเร็งในสมองในปี 1884 ต่อมาในปี 1886 เอดิสันแต่งงานใหม่กับ Mina Miller มีลูก 3 คนเช่นกัน เอดิสันเสียชีวิตด้วยโรคเบาหวานในปี 1931 อายุรวม 84 ปี ส่วน Mina เสียชีวิตในปี 1947

เอดิสันเป็นตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จด้วยความอุตสาหะขยันหมั่นเพียร เขาได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ นิตยสารไลฟ์ได้ยกย่องให้เอดิสันเป็นหนึ่งใน “100 คนที่สำคัญที่สุดในช่วง 1,000 ปีที่ผ่านมา” เขาคือสุดยอดนักประดิษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลกตลอดกาล

► ไอแซก นิวตัน นักวิทยาศาสตร์ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

ไอแซก นิวตัน (Isaac Newton) เป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และฟิสิกส์ รวมทั้งยังเป็นนักเทววิทยาอีกด้วย ผลงานของนิวตันจัดว่าเป็นระดับ “สุดยอด” ของแต่ละสาขาวิชา เขาเป็นผู้คิดค้นวิชาแคลคูลัสที่เป็นคณิตศาสตร์ชั้นสูง เป็นผู้บัญญัติกฎการเคลื่อนที่ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญยิ่งของวิชาฟิสิกส์ เป็นผู้ค้นพบและสร้างกฎแรงโน้มถ่วงสากลอันเป็นแกนหลักของวิชาดาราศาสตร์ และยังมีผลงานอื่นอีกมากมาย นิวตันทำให้วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าอย่างมาก ผลงานของเขามีอิทธิพลต่อการเรียนรู้และพัฒนาการทางวิทยาศาสตร์ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมาจวบจนปัจจุบัน เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

เด็กกำพร้าแม่ทิ้งไต่เต้าจากเด็กเสิร์ฟจนเป็นศาสตราจารย์

นิวตันเป็นชาวอังกฤษเกิดที่หมู่บ้าน Woolsthorpe มณฑล Lincolnshire ในวันคริสต์มาสปี 1642 ปีเดียวกับที่กาลิเลโอเสียชีวิต ราวกับพระเจ้าได้ส่งอัจฉริยะคนใหม่มาสานต่อสิ่งที่กาลิเลโอริเริ่มไว้ให้สำเร็จลุล่วง พ่อของนิวตันเสียชีวิตก่อนเขาเกิด 3 เดือน เขาเป็นเด็กคลอดก่อนกำหนดตัวเล็กมากไม่มีผู้ใดคิดว่าจะรอดชีวิตได้ เมื่อนิวตันอายุได้ 3 ขวบมารดาของเขาแต่งงานใหม่และย้ายไปอยู่กับสามีใหม่ทิ้งเด็กน้อยให้อยู่กับยาย ช่วงอายุระหว่าง 12 – 17 ปีนิวตันได้เรียนหนังสือที่เมือง Grantham แต่ต้องออกมาทำฟาร์มที่เขาไม่ชอบเลยตามคำสั่งของแม่ที่กลายเป็นแม่หม้ายอีกครั้งอยู่ระยะหนึ่ง โชคของหนุ่มนิวตันยังดีที่อาจารย์ที่โรงเรียนของเขาสามารถเกลี้ยกล่อมแม่ให้ส่งเขากลับไปเรียนหนังสือได้สำเร็จ โอกาสของเขาจึงเริ่มดีขึ้น รวมทั้งผลการเรียนที่อยู่ระดับแถวหน้า

ปี 1661 นิวตันได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยตรีนิตี้ (Trinity College) มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เป็นนักศึกษาที่รับการช่วยเหลือทางการเงินจากวิทยาลัยแต่ต้องแลกกับการทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟและคนทำความสะอาดห้องพักอยู่ 3 ปีก่อนจะได้รับทุนการศึกษาจนกว่าจะจบปริญญาโท หลังจากเขาเรียนจบปริญญาตรีได้ไม่นานมหาวิทยาลัยต้องปิดชั่วคราวเนื่องจากเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ ทำให้เขาต้องกลับไปอยู่ที่บ้านที่ Woolsthorpe เป็นเวลา 2 ปี แต่กลับเป็นช่วงเวลานี้เองที่นิวตันได้พัฒนาทฤษฎีของเขาเกี่ยวกับแคลคูลัส ธรรมชาติของแสง และกฎแรงโน้มถ่วงได้อย่างมาก

ปี 1667 นิวตันกลับไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ได้รับเลือกให้เป็นนักวิจัยที่วิทยาลัยตรีนิตี้ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ต้องอุทิศตนถือบวชอันเป็นสิ่งที่นิวตันพยายามหลีกเลี่ยงเนื่องจากมุมมองที่ไม่เห็นด้วยกับฝ่ายศาสนา โชคดีที่ไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอนว่าต้องบวชเมื่อไรจึงอาจเลื่อนไปตลอดกาลก็ได้ แต่หลังจากที่เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นเมธีลูเคเชียน (Lucasian Professor) ซึ่งเป็นตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์อันทรงเกียรติที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ในปี 1669 เรื่องถือบวชจึงกลายเป็นเรื่องที่ตึงเครียดมากขึ้น นิวตันจัดการปัญหานี้ด้วยการขอยกเว้นสำหรับเขาเป็นกรณีพิเศษจากพระเจ้าชาลส์ที่ 2 และได้รับอนุญาต ความขัดแย้งระหว่างเขากับฝ่ายศาสนาจึงลดลงไป ปี 1672 นิวตันได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของราชสมาคมแห่งลอนดอน (Royal Society) ซึ่งเป็นสมาคมของนักปราชญ์ด้านวิทยาศาสตร์เก่าแก่ที่สุดที่ยังมีอยู่ถึงปัจจุบัน

สุดยอดนักคณิตศาตร์แห่งยุค

ผลงานด้านคณิตศาสตร์ของนิวตันถูกกล่าวขานว่าเป็น “ความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ในทุกสาขาของคณิตศาสตร์ยุคนั้น” เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้คิดค้นวิชาแคลคูลัสร่วมกับกอทท์ฟรีดไลบ์นิซนักคณิตศาสตร์คนสำคัญชาวเยอรมันผู้ตีพิมพ์เป็นหนังสือในปี 1684 แต่ก่อนหน้านั้นไอแซก นิวตันได้คิดวิธีคำนวณเพื่อใช้แก้ปัญหากลศาสตร์ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ซึ่งเขาเรียกว่า fluxion ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกับ calculus ของไลบ์นิซ เพียงแต่นิวตันไม่ได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือ แต่ได้สอดแทรกทั้งทฤษฎีและการประยุกต์ใช้ไว้ในหนังสือหลายเล่มที่พิมพ์ก่อนปี 1684 ทุกวันนี้นักประวัติศาสตร์คณิตศาสตร์ได้เห็นพ้องกันว่าไลบ์นิซและนิวตันสร้างแคลคูลัสขึ้นมาโดยไม่มีใครลอกเลียนใคร และนิวตันสร้างได้ก่อนไลบ์นิซประมาณ 10 ปี (แต่ไม่ตีพิมพ์) แต่สัญลักษณ์และเครื่องหมายของไลบ์นิซได้รับความนิยมมากกว่า

นิวตันเป็นผู้คิดค้นทฤษฎีบททวินามที่ใช้ได้สำหรับเลขยกกำลังใดๆ เขาเป็นผู้ค้นพบ Newton’s identities, Newton’s method, เส้นโค้งบนระนาบลูกบาศก์ (โพลีโนเมียลอันดับสามของตัวแปรสองตัว) เขามีส่วนอย่างสำคัญต่อทฤษฎี finite differences และเป็นคนแรกที่ใช้เศษส่วนเลขชี้กำลัง (fractional indices) และนำเรขาคณิตเชิงพิกัดมาใช้หาคำตอบจากสมการไดโอแฟนทีน เขาหาค่าผลบวกย่อยโดยประมาณของอนุกรมฮาร์โมนิกได้โดยใช้ลอการิทึม (ก่อนจะมีสมการผลรวมของออยเลอร์) และเป็นคนแรกที่ใช้อนุกรมกำลัง นิวตันสร้างผลงานด้านคณิตศาสตร์เยอะมากสมกับที่ได้รับการกล่าวขานจริงๆ

นักฟิสิกส์และนักดาราศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่

ผลงานเกี่ยวกับคุณสมบัติของแสงของนิวตันเริ่มจากปี 1666 ที่เขาสังเกตเห็นว่าสเปกตรัมของสีที่ออกจากปริซึมในตำแหน่งของความเบี่ยงเบนต่ำสุดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า แม้ว่าแสงเข้าสู่ปริซึมเป็นวงกลมก็ตาม นำไปสู่ข้อสรุปที่ว่าสีเป็นคุณสมบัติที่แท้จริงของแสง ต่อมาระหว่างปี 1670 ถึง 1672 ที่นิวตันสอนวิชาทัศนศาสตร์ (Optics) เขาได้ศึกษาการหักเหของแสงและค้นพบว่าแสงสีขาวเมื่อผ่านปริซึมจะเกิดแถบสี 7 สี (สีรุ้ง) และสามารถรวมกลับเป็นแสงสีขาวด้วยเลนส์และปริซึมอันที่สอง เขายังพบว่าลำแสงสีต่างๆจะไม่เปลี่ยนคุณสมบัติไม่ว่าจะผ่านการหักเห, การกระเจิง หรือการส่งผ่าน แสงจะยังคงสีเดิมไว้ ซึ่งนำไปสู่การสร้างทฤษฎีสีที่บอกว่าสีเป็นผลจากการที่วัตถุมีปฏิสัมพันธ์กับแสงที่มีสีอยู่แล้วไม่ใช่วัตถุสร้างสีเอง

จากงานเรื่องแสงของนิวตันทำให้เขาได้ข้อสรุปว่าเลนส์ของกล้องโทรทรรศน์หักเหแสง (Refracting Telescope) จะเห็นภาพไม่ค่อยชัดเนื่องจากการแผ่กระจายของแสงเป็นสี เพื่อพิสูจน์แนวคิดนี้เขาได้สร้างกล้องโทรทรรศน์ที่ใช้กระจกสะท้อนแสงแทนเลนส์เพื่อเลี่ยงปัญหาดังกล่าว นิวตันสร้างกล้องโทรทรรศน์สะท้อนแสง (Reflecting Telescope) สำเร็จในปี 1668 ซึ่งกลายเป็นต้นแบบของกล้องโทรทรรศน์ที่ใช้ในงานดาราศาสตร์ในปัจจุบันแทบทั้งหมด นอกจากนี้เขายังสร้างกฎการเย็นตัว (Newton’s Law of cooling) และทำการคำนวณความเร็วของเสียงในทางทฤษฎีได้เป็นครั้งแรกอีกด้วย

นิวตันได้สร้างกฎการเคลื่อนที่ (Newton’s laws of motion) อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุและแรงที่กระทำต่อมัน และการเคลื่อนที่ของวัตถุที่ตอบสนองต่อแรงเหล่านั้น เขาได้พิสูจน์ว่าทั้งวัตถุบนโลกและวัตถุในท้องฟ้าล้วนอยู่ภายใต้กฎการเคลื่อนที่เดียวกัน นิวตันใช้กฎนี้อธิบายและตรวจสอบหาความจริงในการเคลื่อนที่ของวัตถุและระบบในหลายกรณี รวมทั้งการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ กฎการเคลื่อนที่ของนิวตันกลายเป็นพื้นฐานที่สำคัญของวิชากลศาสตร์เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน มันมีประโยชน์อย่างมากต่อความก้าวหน้าในหลายเรื่องระหว่างการปฏิวัติอุตสาหกรรม และไม่เคยถูกปรับปรุงเลยมากว่า 200 ปี

ปี 1679 นิวตันหันมาสนใจศึกษาเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของวัตถุบนท้องฟ้าอีกครั้ง เขาครุ่นคิดพิจารณาเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงและผลกระทบของมันที่มีต่อการโคจรของดาวเคราะห์โดยใช้กฎการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ของเคปเลอร์เป็นตัวอ้างอิง นิวตันได้ทำการพิสูจน์ว่าการโคจรเป็นวงรีของดาวเคราะห์เป็นผลมาจากแรงสู่ศูนย์กลางที่ผกผันกับรัศมียกกำลังสอง นำไปสู่การสร้างกฎแรงโน้มถ่วงสากล (Newton’s law of universal gravitation) อันลือลั่นซึ่งเป็นเสาหลักของการศึกษาทางดาราศาสตร์ตลอดช่วง 3 ศตวรรษที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน และแม้ว่ากฎแรงโน้มถ่วงของนิวตันจะถูกทดแทนด้วยทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ แต่มันยังคงถูกใช้งานและยังให้ผลการคำนวณที่ยอดเยี่ยมมาโดยตลอด ทฤษฎีสัมพัทธภาพจะใช้ในกรณีที่ต้องการความละเอียดสูงมากหรือมีสนามแรงโน้มถ่วงกำลังสูงมากเท่านั้น

นิวตันได้รวบรวมผลงานเรื่องกฎการเคลื่อนที่และกฎแรงโน้มถ่วงสากลเขียนเป็นหนังสือโดยใช้วิชาแคลคูลัสในการอธิบายและพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์ หนังสือนี้กลายเป็นหนังสือที่สำคัญที่สุดเล่มหนึ่งในประวัติศาสตร์คือหนังสือ Philosophiæ Naturalis Principia Mathematica หรือเรียกสั้นๆว่า Principia

Principia หนังสือวิชาการที่ทรงคุณค่ามากที่สุดในโลก

ปี 1684 Edmond Halley นักดาราศาสตร์คนสำคัญของโลก (ผู้คำนวณคาบการโคจรและทำนายการปรากฏตัวของดาวหางฮัลเลย์สำเร็จคนแรก) ได้มาพบนิวตันเพื่อสอบถามความเห็นเรื่องปัญหาการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ที่ได้เคยถกเถียงกันและยังคิดกันไม่ออก นิวตันบอกว่าเขาพิสูจน์ได้ตั้งนานแล้วแต่หาบันทึกไม่เจอ ด้วยแรงกระตุ้นและการสนับสนุนจาก Halley นิวตันใช้เวลา 2 – 3 เดือนเขียนเนื้อหาที่เป็นหัวใจของเรื่องนี้จำนวน 9 แผ่นส่งให้ Halley และราชสมาคมแห่งลอนดอน และใช้เวลาอีก 2 ปีทุ่มเทเขียน Principia จนสำเร็จและได้ตีพิมพ์ครั้งแรกด้วยการช่วยเหลือด้านการเงินจาก Halley ในปี 1687

หนังสือ Principia แบ่งเป็น 3 เล่มย่อย เล่มแรกเกี่ยวกับพื้นฐานวิชาแคลคูลัสในชื่อ “the method of first and last ratios” และการเคลื่อนที่ของวัตถุ เล่มที่ 2 เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับความเร็วและแรงเสียดทาน, สถิตยศาสตร์ของไหล (Hydrostatics), แรงเสียดทานของอากาศ รวมทั้งการคำนวณหาความเร็วของคลื่นในของเหลวและความเร็วของเสียงในอากาศ เล่มที่ 3 เป็นเรื่องเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงสากลและการโคจรของระบบสุริยะ หนังสือเล่มนี้จึงมีทั้งวิชาแคลคูลัส กฎการเคลื่อนที่ และกฎแรงโน้มถ่วงสากลอันเป็นเสาหลักของการศึกษาและพัฒนาวิทยาศาสตร์มาอย่างยาวนาน

Principia ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในหนังสือทรงคุณค่าและมีอิทธิพลต่อวงการวิทยาศาสตร์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ไอน์สไตน์นักวิทยาศาสตร์ผู้โด่งดังของโลกบอกว่าหนังสือ Principia เป็น “ความก้าวหน้าทางสติปัญญาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” นอกจากนี้ Principia ฉบับพิมพ์ครั้งแรกยังเป็นหนังสือวิทยาศาสตร์ที่แพงที่สุดในโลกอีกด้วย ผู้ชนะการประมูลเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2016 ได้หนังสือ Principia ไปในราคา 3.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ตำนานแอปเปิลหล่นกับการค้นพบกฎแรงโน้มถ่วง

การค้นพบและสร้างกฎแรงโน้มถ่วงของนิวตันเป็นสิ่งที่พิเศษและเหลือเชื่ออย่างยิ่ง ไม่มีใครนึกฝันมาก่อนว่ามีแรงดึงดูดระหว่างมวล แล้วนิวตันค้นพบได้อย่างไร จึงมีตำนานเล่าว่าขณะที่เขานั่งใต้ต้นแอปเปิลมีลูกแอปเปิลหล่นลงมาใส่หัว ทำให้เขาเกิดปัญญาคิดขึ้นได้อย่างฉับพลันว่าลูกแอปเปิลหล่นลงมาด้วยแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งอันที่จริงการค้นพบของนิวตันต้องผ่านการศึกษาค้นคว้า ครุ่นคิดใคร่ครวญ พัฒนามาเป็นลำดับ ต้องสร้างวิชาแคลคูลัส สร้างกฎการเคลื่อนที่ และใช้เวลานานหลายปีกว่าจะสรุปออกมาเป็นกฎแรงโน้มถ่วงได้ แต่ตำนานแอปเปิลหล่นก็ไม่ใช่เรื่องที่มโนขึ้นเอง มีหลักฐานว่าเรื่องลูกแอปเปิลหล่นก็เป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจในการค้นพบด้วยเช่นกัน

William Stukeley ผู้เขียนบันทึกเรื่องราวของนิวตันในชื่อ “Memoirs of Sir Isaac Newton’s Life” ได้บันทึกสิ่งที่นิวตันเล่าให้เขาฟังด้วยตัวเองขณะพวกเขาสองคนนั่งอยู่ใต้ต้นแอปเปิลในสวนว่า “เมื่อก่อนเขา (นิวตัน) อยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกันนี้ ได้เห็นลูกแอลเปิลหล่น ความคิดเรื่องแรงโน้มถ่วงเข้ามาในใจเขา ทำไมลูกแอปเปิลถึงตกดิ่งลงสู่พื้น ทำไมไม่ออกไปด้านข้างหรือขึ้นข้างบน ทำไมมันถึงมุ่งสู่ใจกลางโลกเสมอ เหตุผลคือโลกดึงมันลงมา จะต้องมีแรงดึงในสสารและผลรวมของแรงดึงในสสารของโลกต้องอยู่ในแนวศูนย์กลางของโลก ถ้าสสารดึงสสาร มันจะต้องมีสัดส่วนตามปริมาณของมัน ดังนั้นลูกแอปเปิลดึงโลกและโลกก็ดึงลูกแอปเปิล” ตำนานลูกแอปเปิลหล่นกับการค้นพบที่ยิ่งใหญ่นี้จะถูกเล่าขานไปอีกนานแสนนาน

ทุ่มสุดตัวเพื่อผลงานยิ่งใหญ่แต่นอบน้อมถ่อมตนยิ่ง

ผลงานและความสำเร็จของนิวตันมิใช่ได้มาด้วยความอัจฉริยะของเขาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลจากการทุ่มเทในการศึกษาค้นคว้าทดลองครุ่นคิดวิเคราะห์ที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก เขาอุทิศเวลาทั้งชีวิตให้กับการทำงาน นิวตันไม่เคยแต่งงาน ไม่อยู่ภายใต้กิเลสตัณหาและความเปราะบางทางอารมณ์แบบผู้ชายคนอื่น เชื่อกันว่าเขาเสียชีวิตไปโดยที่ยังบริสุทธิ์อยู่

แม้นิวตันจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีผลงานโดดเด่นที่สุดและได้รับการยกย่องมากที่สุดในยุคนั้น แต่เขากลับเจียมเนื้อเจียมตัวกับความสำเร็จของตัวเอง ดังจะเห็นได้จากถ้อยคำที่เขาสื่อสารกับเพื่อนร่วมวงการ เช่น

“ถ้าฉันสามารถมองได้ไกลกว่าคนอื่น นั่นเป็นเพราะว่าฉันยืนอยู่บนไหล่ของยักษ์”

ซึ่งน่าจะหมายถึงความสำเร็จของเขามาจากผลงานของผู้ยิ่งใหญ่ยุคก่อนหน้า และหนึ่งในบรรดายักษ์ที่นิวตันให้การยกย่องเป็นพิเศษคือกาลิเลโอ ส่วนไหล่ของเขานั้นได้เป็นที่ยืนให้กับใครต่อใครมากมาย รวมทั้งไอน์สไตน์ผู้โด่งดัง

นักวิทยาศาสตร์ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์

เพียงผลงานอย่างใดอย่างหนึ่งในผลงานเด่นของนิวตัน ไม่ว่าจะเป็น วิชาแคลคูลัส, เรื่องแสงและกล้องโทรทรรศน์สะท้อนแสง, กฎการเคลื่อนที่ หรือกฎแรงโน้มถ่วง ก็ทำให้เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญของโลกได้แล้ว แต่นิวตันมีผลงานชั้นยอดมากมายสุดที่ใครจะเทียบได้ เขาจึงได้รับการยกย่องในระดับสูงสุดตลอดมา

นิวตันดำรงตำแหน่งสำคัญอันแสดงถึงการเป็นผู้มีความสามารถสูงเป็นที่ยอมรับมากมาย เขาเป็นเมธีลูเคเชียนที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์นานถึง 33 ปี, เป็นประธานราชสมาคมแห่งลอนดอนนาน 24 ปี (ในยุคนั้นใครที่จะได้เป็นสมาชิกของที่นี่ต้องเป็นคนที่โดดเด่นเท่านั้น), เป็นเจ้ากรมกษาปณ์ของอังกฤษนาน 27 ปี (รัฐบาลอังกฤษให้มาแก้ปัญหาธนบัตรปลอม นิวตันทำผลงานได้ยอดเยี่ยมจนได้เป็นหัวหน้าหน่วยงานนี้อย่างยาวนาน), เป็นสมาชิกรัฐสภา (ตัวแทนของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์) อีก 2 สมัย และกระทั่งยังมีเสียงร่ำลือว่าเขาเคยเป็นผู้นำสูงสุดของสมาคมลึกลับ Priory of Sion อีกด้วย (มีเค้ามากทีเดียวเพราะนิวตันเป็นนักเทววิทยาชั้นนำ) และนิวตันได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ชั้นอัศวิน (Knight) ในตำแหน่งเซอร์ (Sir) จากพระราชินีแอนน์แห่งอังกฤษในปี 1705

นิวตันเสียชีวิตในปี 1727 ด้วยวัย 85 ปี จากผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติอย่างอเนกอนันต์ พิธีศพของเขาจึงถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่เทียบเท่ากษัตริย์ ศพของเขาฝังอยู่ที่มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์เช่นเดียวกับกษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงของอังกฤษ นี่คือนักวิทยาศาสตร์ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ “เซอร์ไอแซก นิวตัน”

ที่มา
https://www.takieng.com/stories/6241
ข้อมูลและภาพจาก
wikipedia, biography, bbc

► อาร์คิมิดีส อัจฉริยะนักคณิตศาสตร์ นักฟิสิกส์ และนักประดิษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่ข้ามสหัสวรรษ

อาร์คิมิดีส เป็นนักคณิตศาสตร์ นักฟิสิกส์ วิศวกร และนักประดิษฐ์คนสำคัญในสมัยโบราณ ผู้วางรากฐานให้แก่วิชาสถิตยศาสตร์ สถิตยศาสตร์ของไหล และกลศาสตร์ เป็นผู้คิดค้นนวัตกรรมเครื่องจักรกลหลายชิ้น รวมทั้งอุปกรณ์เครื่องทุ่นแรงที่ยังใช้งานอยู่จนถึงปัจจุบัน ในงานด้านคณิตศาสตร์อาร์คิมิดีสเป็นผู้คิดวิธีหาพื้นที่และปริมาตรของรูปทรงเรขาคณิตมากมาย รวมทั้งการหาค่า π (pi) เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในบรรดานักวิทยาศาสตร์ชั้นยอดและเป็นนักคณิตศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในยุคโบราณ

อาร์คิมิดีส เป็นชาวกรีก เกิดเมื่อ 287 ปีก่อนคริสต์ศักราช ที่เมืองซีรากูซา บนเกาะซิซิลีซึ่งอยู่ทางตอนใต้สุดของประเทศอิตาลีในปัจจุบัน ในเวลานั้นเมืองซีรากูซาจัดเป็นเมืองใหญ่ที่มีความเจริญ มีกษัตริย์ปกครอง แต่อาร์คิมิดีสได้ดั้นด้นไปเรียนยังแดนไกลที่เมืองอเล็กซานเดรียทางตอนเหนืออียิปต์ซึ่งในตอนนั้นเป็นศูนย์กลางการศึกษาที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เขาได้เข้าเรียนที่โรงเรียนของทายาทของ Euclid ตำนานนักคณิตศาสตร์ผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งเรขาคณิต

หลังจบการศึกษาที่เมืองอเล็กซานเดรีย อาร์คิมิดีสได้กลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองซีรากูซา เป็นนักคิดและนักประดิษฐ์คนสำคัญของเมืองบ้านเกิด ทำงานและช่วยแก้ปัญหาให้กับพระเจ้าเฮียโรที่ 2 กษัตริย์ผู้ปกครองเมืองซีรากูซาซึ่งนัยว่าเป็นญาติกับเขาด้วยแต่ไม่มีหลักฐานยืนยัน อาร์คิมิดีสสร้างผลงานมากมายจนเป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์

วลีดังที่ผู้คนทั่วโลกรู้จักกันดี “ยูเรก้า!”
เรื่องเล่าที่รู้จักกันแพร่หลายที่สุดเกี่ยวกับอาร์คิมิดีสคือตอนที่เขาค้นพบวิธีหาปริมาตรของมงกุฎทองของพระเจ้าเฮียโรที่ 2 เพื่อพิสูจน์ว่ามีการผสมเงินเข้าไปด้วยหรือไม่ อาร์คิมิดีสค้นพบคำตอบตอนที่เขากำลังอาบน้ำแล้วสังเกตเห็นว่าระดับน้ำในอ่างเพิ่มสูงขึ้นขณะเขาก้าวลงไป จึงคิดวิธีหาปริมาตรของมงกุฎโดยวิธีแทนที่น้ำได้ ซึ่งนำไปสู่การพิสูจน์ได้ว่ามงกุฏทองมีเงินผสมอยู่จริงๆ ด้วยความตื่นเต้นดีใจอาร์คิมิดีสจึงวิ่งออกไปยังท้องถนนทั้งที่ยังแก้ผ้า แล้วร้องตะโกนว่า “ยูเรก้า!” (ภาษากรีกแปลว่าฉันพบแล้ว)

อาร์คิมิดีสได้เขียนอธิบายหลักการนี้ซึ่งต่อมาเรียกว่าหลักการของอาร์คิมิดีส (Archimedes’ principle) ไว้ในหนังสือ On Floating Bodies ว่า “เมื่อนำวัตถุลงไปแทนที่ของเหลวจะมีแรงต้านเท่ากับน้ำหนักของของเหลวปริมาตรเท่าส่วนจม” สิ่งที่เขาค้นพบเป็นกฎของแรงลอยตัวและการแทนที่ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของวิชาสถิตยศาสตร์ของไหล ( Hydrostatics)

เครื่องทุ่นแรงที่ใช้มานานกว่า 2,000 ปี
ระหัดเกลียวของอาร์คิมีดีส (Archimedes’s Screw)
พระเจ้าเฮียโรที่ 2 ให้อาร์คิมีดีสออกแบบสร้างเรือที่ใหญ่ที่สุดในยุคนั้น บรรทุกคนได้ 600 คน มีสวนไม้ประดับ โรงยิม โบสถ์ และเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย สามารถใช้เป็นเรือสำราญ เรือบรรทุกสินค้า หรือเป็นเรือรบก็ได้ ปัญหาอย่างหนึ่งสำหรับเรือใหญ่ขนาดนี้ในสมัยนั้นคือมีน้ำรั่วซึมตามลำเรือมาก จำเป็นต้องมีเครื่องมือวิดน้ำออกจากท้องเรือให้ทัน อาร์คิมีดีสได้ออกแบบเครื่องมือที่ประกอบด้วยใบพัดหมุนรูปเกลียวอยู่ภายในท่อทรงกระบอก ใช้หมุนด้วยมือ มันสามารถใช้งานได้ผลเป็นอย่างดี ปัจจุบันนี้ระหัดเกลียวของอาร์คิมีดีสยังเป็นที่นิยมใช้งานกันอย่างแพร่หลายสำหรับการระบายน้ำและการขนถ่ายวัสดุประเภทเป็นเม็ดขนาดเล็ก เช่น ถ่านหินหรือเมล็ดธัญพืช

คานดีดคานงัด (Law of Lever)
อาร์คิมีดีสได้อธิบายหลักการในเรื่องนี้ไว้ในหนังสือ On the Equilibrium of Planes มีประโยชน์สำหรับการยกของที่มีน้ำหนักมาก คานดีดคานงัดใช้วิธีการง่ายๆคือหาไม้คานยาวอันหนึ่งและจุดรองรับคาน (Fulcrum) เมื่อสอดปลายไม้ด้านหนึ่งไว้ใต้สิ่งของใกล้กับตำแหน่งจุดรองรับคานและออกแรงกดที่ปลายไม้คานอีกด้านหนึ่งก็จะสามารถยกของที่มีน้ำหนักมากได้อย่างสบาย เขาได้สอนให้พวกกะลาสีเรือรู้จักใช้คานงัดของหนักโดยไม่ต้องออกแรงมากนัก และนี่เป็นที่มาของวาทะเด็ดของเขาที่ว่า “Give me a place to stand, and a lever long enough, and I will move the world.” – หาที่ยืนกับคานงัดที่ยาวพอให้ฉันสิ แล้วฉันจะเคลื่อนโลกให้ดู

เครื่องชักรอก (Block and tackle)
อาร์คิมีดีสคิดค้นเครื่องชักรอกหรือระบบรอกพวงที่ใช้รอกหลายตัวซึ่งช่วยทุ่นแรงในการยกของหนักเพื่อให้พวกกะลาสีเรือที่แต่ละวันต้องยกของหนักจำนวนมากไม่ต้องเหนื่อยมากเกินไปและไม่ต้องใช้คนจำนวนมากในการยกของหนัก ก่อนจะมีเครื่องมือชนิดนี้ของหนัก 1 ตันต้องใช้คนยกมากถึง 30 – 40 คน แต่เมื่อมีเครื่องชักรอกคนเพียงคนเดียวก็สามารถจะยกขึ้นได้ เมื่อเครื่องชักรอกของอาร์คิมิดิสถูกใช้งานอย่างแพร่หลายก็ทำให้วิทยาการของโลกเจริญรุดหน้าไปมาก เพราะการสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่สามารถทำได้ง่ายขึ้นและเทคโนโลยีนี้ก็ยังถูกพัฒนาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันอย่างเช่นเครนขนาดใหญ่ที่ใช้ในการสร้างตึกสูงก็ใช้ระบบรอกที่อาร์คิมิดิสเป็นผู้คิดค้นขึ้นมา

เครื่องทุ่นแรงต่างๆที่อาร์คิมีดีสคิดค้นขึ้นมานอกจากจะมีประโยชน์ต่อการทำงานอย่างมากมายจนเป็นที่นิยมใช้กันต่อเนื่องยาวนานกว่า 2,000 ปีแล้วนั้น มันยังเป็นรากฐานที่สำคัญของวิชากลศาสตร์ รวมถึงเป็นต้นแบบของเครื่องจักรกลที่สำคัญในปัจจุบันอีกจำนวนมาก

สุดยอดนักคณิตศาสตร์ยุคโบราณ
การประมาณค่า π 
ทรงกลมและทรงกระบอก
พาราโบลาและเส้นตรง
จุดศูนย์ถ่วงของระนาบ

คิดค้นอาวุธสงครามเพื่อปกป้องบ้านเมือง
กรงเล็บของอาร์คิมิดีส (Claw of Archimedes)
ลำแสงพิฆาตของอาร์คิมิดีส (Archimedes’ Death Ray)

จบชีวิตขณะคิดโจทย์คณิตศาสตร์
หลังจากปิดล้อมอยู่นานในที่สุดกองทัพโรมันก็สามารถตีเมืองซีรากูซาได้สำเร็จ นายพลมาร์เซลลัสที่ชื่นชมความสามารถของอาร์คิมิดีสอย่างมากและคิดว่าอาร์คิมิดีสคือสมบัติทางวิทยาศาสตร์อันล้ำค่า ได้สั่งให้ทหารนำตัวอาร์คิมิดีสมาพบโดยห้ามทำร้ายเขา ทหารมาตามตัวอาร์คิมิดีสไปพบแม่ทัพโรมันขณะที่เขากำลังคิดใคร่ครวญปัญหาคณิตศาสตร์อยู่ เขาจึงปฏิเสธโดยบอกกับทหารว่าเขาต้องทำโจทย์คณิตศาสตร์ให้เสร็จก่อน อย่าเพิ่งมารบกวน ทหารโรมันโกรธมากจึงใช้ดาบฆ่าเขา นายพลมาร์เซลลัสโกรธมากที่ผู้ซึ่งเขาเรียกว่า “เทพเจ้าแห่งเรขาคณิต” ต้องตายไปทั้งๆที่เขาสั่งห้ามทำอันตรายต่อเขาไว้แล้ว

นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ข้ามสหัสวรรษ
ผลงานของอาร์คิมิดีสทั้งในฐานะนักฟิสิกส์ นักคณิตศาสตร์ วิศวกร หรือนักประดิษฐ์ ล้วนมีประโยชน์ต่อผู้คนทั่วโลกอย่างมหาศาล ผลงานหลายอย่างของเขาถูกนำไปใช้ประโยชน์ตั้งแต่สมัยโบราณสืบเนื่องต่อมาข้ามสองสหัสวรรษจนถึงปัจจุบันก็ยังคงใช้งานได้ดี กาลิเลโอให้การยกย่องต่ออาร์คิมิดีสหลายต่อหลายครั้งและให้ฉายาเขาว่า ‘เหนือมนุษย์’ (Superhuman) ส่วนกอทท์ฟรีด ไลบ์นิซบอกว่าหากใครรู้จักเข้าใจอาร์คิมิดีสดีพอจะให้การยกย่องต่อความสำเร็จของคนสำคัญยุคต่อมาน้อยลง อาร์คิมิดีสจึงได้รับการยกย่องให้เป็นทั้งนักคณิตศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกตลอดกาล

ที่มา
https://www.takieng.com/stories/10098

► ผลวิจัยเม็ดเลือดเผยอายุขัยที่แท้จริงของมนุษย์ ชี้อยู่ได้นานที่สุดถึง 150 ปี

แม้จะเคยมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ชี้ว่า คนเราสามารถมีชีวิตอยู่ได้ยาวนานที่สุดราว 120 ปี แต่ผลการศึกษาใหม่ที่วิเคราะห์วงจรชีวิตของเม็ดเลือดกลับให้ข้อมูลที่ต่างออกไป โดยพบสิ่งบ่งชี้ว่าอายุขัยสูงสุดที่แท้จริงของมนุษย์อาจมากถึง 150 ปี

ทีมนักวิจัยเชื้อสายรัสเซียจากบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ “เจโร” (Gero) ในสิงคโปร์ ตีพิมพ์เผยแพร่ผลการวิจัยข้างต้นในวารสาร Nature Communications โดยระบุว่าคนเราสามารถมีชีวิตยืนยาวได้อย่างมากที่สุดราว 120 – 150 ปี แต่จะไม่เกินไปกว่านั้น เนื่องจากความสามารถในการซ่อมแซมฟื้นฟูร่างกายในระดับเซลล์ได้หมดไปอย่างสิ้นเชิงในช่วงวัยดังกล่าว

  • พบความแก่ชรามีอย่างน้อย 4 แบบ คุณจะเป็นแบบไหนเมื่อสูงวัยมากขึ้น
  • มนุษย์ไม่ได้ชราลงอย่างต่อเนื่อง แต่ร่างกายถึงคราวทรุดโทรม 3 ครั้งใหญ่ในชีวิต
  • วิธีบำบัดใหม่ใช้กระแสไฟฟ้าอ่อนแตะใบหูช่วยชะลอวัย

ทีมผู้วิจัยทราบถึงขีดจำกัดของอายุขัยมนุษย์ได้ ด้วยการวิเคราะห์ผลตรวจนับเม็ดเลือดของประชากรต่างวัย 500,000 คนในสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และรัสเซีย เพื่อดูถึงสัดส่วนระหว่างเม็ดเลือดขาวสองชนิด กับความแตกต่างของขนาดเม็ดเลือดแดงที่ร่างกายผลิตออกมา ซึ่งยิ่งคนเรามีอายุมากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงทั้งปริมาณและขนาดของเม็ดเลือดสองประการนี้ก็จะยิ่งปรากฏชัดขึ้น เหมือนกับผมที่หงอกขาวเมื่อเข้าสู่วัยชรา

ข้อมูลความเปลี่ยนแปลงของเม็ดเลือดดังกล่าว เป็นตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ (Biomarker) ที่บอกได้ถึงระดับความชราหรืออายุทางชีวภาพ (Biological age) ที่แท้จริงของคนเรา ซึ่งอาจแก่กว่าหรืออ่อนเยาว์กว่าอายุที่นับจากวันเกิดก็ได้

ภาพขยายเซลล์เม็ดเลือดแดงขณะเกิดลิ่มเลือด


มีการนำข้อมูลเหล่านี้มาสร้างเป็นแบบจำลองคอมพิวเตอร์ เพื่อคำนวณหาสิ่งที่เรียกว่า “ตัวบ่งชี้สภาพของสิ่งมีชีวิตแบบมีพลวัต” (DOSI) ซึ่งตัวเลขนี้จะแสดงถึงความสามารถของมนุษย์ในการฟื้นตัวจากภาวะป่วยไข้หรือบาดเจ็บ และหากความสามารถนี้ยังคงอยู่ในช่วงวัยใดก็จะไม่ทำให้เกิดภาวะเครียดในร่างกายที่นำไปสู่ความชรา

ผลการคำนวณปรากฏว่า ความสามารถในการฟื้นตัวจากภาวะป่วยไข้หรือบาดเจ็บของคนเราจะหมดไปอย่างสิ้นเชิงในช่วงอายุ 120 – 150 ปี ส่วนผลการคำนวณอีกชุดที่ใช้ทวนสอบความถูกต้องของผลคำนวณอายุขัยดังกล่าว ใช้วิธีนับจำนวนก้าวเดินในแต่ละวันกับประชากรต่างวัยราว 5,000 คน ซึ่งก็คำนวณได้ผลออกมาเช่นเดียวกัน แม้ในกรณีนี้จะใช้จำนวนก้าวที่สามารถเดินได้เป็นตัวบ่งชี้ระดับความชราแทนข้อมูลเม็ดเลือดก็ตาม

อย่างไรก็ตาม การมีอายุขัยที่ยืนยาวมากขึ้นเป็นคนละเรื่องกับการมีสุขภาพที่ดีในวัยชรา ซึ่งทีมผู้วิจัยแนะว่าควรจะต้องมีการศึกษาต่อไปถึงช่วงอายุยาวนานที่สุดที่คนเราจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยมีสุภาพแข็งแรงดีด้วย

ปัจจุบันมนุษย์เจ้าของสถิติอายุยืนยาวที่สุดในโลกได้แก่ จานน์ แกลมองต์ คุณทวดหญิงชาวฝรั่งเศส ซึ่งเสียชีวิตในปี 1997 ด้วยวัย 122 ปี กับอีก 164 วัน

ที่มา : https://www.bbc.com/thai/features-57298728

► ฟ้าทะลายโจร

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Andrographis paniculata (Burm.f.) Nees (วงศ์ Acanthaceae)
ชื่ออื่น : ฟ้าทะลาย หญ้ากันงู น้ำลายพังพอน เมฆทะลาย ฟ้าสะท้าน

ตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย “ฟ้าทะลายโจร” จัดเป็นสมุนไพรที่มีรสขม อยู่ในกลุ่มยาเย็น มีสรรพคุณทางการแพทย์แผนไทย ใช้บรรเทาอาการไข้หวัด แก้ไอและเจ็บคอ เป็นสมุนไพรที่ได้ถูกบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. 2542 (บัญชียาจากสมุนไพร) กระทรวงสาธารณสุข ในรูปแบบยาเดี่ยว

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ได้มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวสมุนไพรฟ้าทะลายโจรกันอย่างแพร่หลาย มีข้อมูลสนับสนุนจากงานวิจัยทางคลินิก พบว่า สมุนไพรฟ้าทะลายโจรมีส่วนช่วยรักษาอาการของโรคติดเชื้อเฉียบพลันของระบบทางเดินหายใจ (acute respiratory tract infection) เช่น อาการไอ อาการเจ็บคอได้ดี ในปี พ.ศ.2555 ได้มีข้อมูลงานวิจัย จากผู้ป่วยจำนวน 807 คน พบว่าผลิตภัณฑ์สารสกัดจากฟ้าทะลายโจรร่วมกับสมุนไพรอื่นๆ ขนาดรับประทาน 31.5-200 มิลลิกรัม/วัน รับประทานเป็นเวลา 3-10 วัน มีผลช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการไอเนื่องจากไข้หวัด (common cold) และอาการอักเสบของระบบทางเดินหายใจส่วนบนได้

ในมุมมองการเกิดโรคหรืออาการตามศาสตร์การแพทย์แผนไทยนั้น อาการไข้ ไอ เจ็บคอ เป็นอิทธิพลของธาตุไฟที่เพิ่มปริมาณสูงขึ้น ทำให้เกิดอาการดังกล่าว เราจึงสามารถใช้สมุนไพรฤทธิ์เย็น (สมุนไพรฟ้าทะลายโจร) เพื่อใช้ในการรักษาอาการที่ส่งผลมาจากอิทธิพลของไฟที่เพิ่มขึ้นได้ พูดง่ายๆคือ ใช้ความเย็น ปรับหรือลดปริมาณความร้อนในร่างกายให้สมดุลนั่นเอง แต่หากใช้ในปริมาณเกินความจำเป็นก็อาจส่งผลทำให้ ร่างกายมีปริมาณความเย็นเกินไป ส่งผลทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ตามมาได้ เช่น อาการชาต่างร่างกาย แขน-ขาอ่อนแรง ท้องอืดท้องเฟ้อ ท้องเสีย หรือผื่นแพ้ตามร่างกาย เป็นต้น

คำแนะนำ
บรรเทาอาการเจ็บคอ
บรรเทาอาการของโรคหวัด (common cold) เช่น เจ็บคอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ

ขนาดและวิธีใช้
รับประทานครั้งละ 500 มิลลิกรัม – 2 กรัม วันละ 4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน

ข้อห้ามใช้
ห้ามใช้ ในผู้ที่มีอาการแพ้ ฟ้าทะลายโจร
ห้ามใช้ ในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร เนื่องจากอาจทำให้เกิดทารกวิรูปได้

คำเตือน
หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้แขนขามีอาการชาหรืออ่อนแรง
หากใช้ฟ้าทะลายโจรติดต่อกัน 3 วัน แล้วไม่หาย หรือ มีอาการรุนแรงขึ้นระหว่างใช้ ยา ควรหยุดใช้ และพบแพทย์
ควรระวังการใช้ร่วมกับสารกันเลือดเป็นลิ่ม (anticoagulants) และยาต้านการจับตัวของเกล็ดเลือด (antiplatelets)
ควรระวังการใช้ร่วมกับยาลดความดันเลือดเพราะอาจเสริมฤทธิ์กันได้
ควรระวังการใช้ร่วมกับยาที่กระบวนการเมแทบอลิซึม ผ่านเอนไซม์ Cytochrome P450 (CYP) เนื่องจากฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ CYP1A2, CYP2C9 และCYP3A4

อาการไม่พึงประสงค์
อาจทำให้เกิดอาการผิดปกติของทางเดินอาหาร เช่น ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ เบื่ออาหาร วิงเวียนศีรษะ ใจสั่น และอาจเกิดลมพิษได้

อ้างอิง
http://kpo.moph.go.th/webkpo/tool/Thaimed2555.pdf
https://www.pharmacy.mahidol.ac.th/knowledge/files/0484.pdf

ที่มา
https://med.mahidol.ac.th/altern_med/th/km/19jun2020-1729

► โรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก (BELL’S PALSY)

อาการหน้าเบี้ยวครึ่งซีก
การที่เปลือกตาและมุมปากตกลง รวมทั้งน้ำลายไหลออกจากมุมปาก และขยับยิ้มมุมปากด้านที่เกิดปัญหาไม่ได้ตามปกตินั้นเกิดจากภาวะที่เส้นประสาทควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อหน้ามีการอักเสบหยุดการทำงาน ทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงด้านเดียวกัน หรือจะระบุว่าเกิดจากการที่เส้นประสาทที่ 7 ก็ได้ โดยโรคนี้มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า BELL’S PALSY (เบลล์พัลซี่)

อาการแสดง

  • อาจเกิดอาการนำคือ ปวดที่บริเวณด้านหน้าหรือหลังหู 1-2 วัน
  • กล้ามเนื้อแสดงสีหน้าเป็นอัมพาตครึ่งซีก โดยปิดตาและ ยักคิ้วข้างนั้นได้ลดลง หรือเวลาหลับตาแล้วปิดตาไม่สนิทส่งผลให้เกิดสภาพตาแห้ง
  • รู้สึกตึงหรือหนักที่ใบหน้าซีกนั้น
  • เสียงก้องที่หูข้างเดียวกัน หูอื้อ
  • บางครั้งอาจมีอาการชาลิ้น

สาเหตุของอาการหน้าเบี้ยวครึ่งซีก
เส้นประสาทที่ 7 เกิดการอักเสบนั้นมีหลักฐานพบว่ามักเป็นจากเชื้อเริมที่มีชื่อเรียกว่า เฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ไวรัส (Herpes simplex virus : HSV) มีอาการร้อนในโดยเกิดแผลร้อนในที่ปากและอวัยวะเพศ ส่วนสาเหตุจากเชื้ออื่นๆ ยังมีงูสวัด หรือ เฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ไวรัส (Herpes zoster virus) ไซโตเมกะโลไวรัส (cytomegalovirus),และเอ็บสไตบาร์ไวรัส (Epstein Barr virus) ซึ่งเมื่อเกิดการอักเสบแล้วจะทำให้เส้นประสาทบวม มีผลทำให้เส้นเลือดขนาดเล็กส่งเลือดไปเลี้ยงเส้นประสาทไม่ได้ จึงรบกวนการทำงานของเส้นประสาทจนไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าให้ทำงานได้ที่กล้ามเนื้อสำหรับใช้ปิดตาและยิ้ม

การวินิจฉัยอาการหน้าเบี้ยวครึ่งซีก
ผู้ป่วยต้องได้รับการตรวจร่างกายเป็นหลัก โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ในรายที่มีอาการนี้มานานเกิน 2 เดือน แล้วยังไม่ดีขึ้นอาจต้องใช้วิธีเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็ก (MRI SCAN) เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีเนื้องอกเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามโรคเส้นประสาทที่ 7 อักเสบ หรือ BELL’S PALSY ส่วนใหญ่หายได้หมด กลับมาปกติ น้อยมากที่จะไม่หายสนิทหรือไม่หายและมีโอกาสน้อยมากที่จะเป็นซ้ำส่วนใหญ่หายได้สนิทใน 2 เดือน

การรักษาอาการหน้าเบี้ยวครึ่งซีก

  • ยาแก้อักเสบกลุ่มสเตียรอยด์ เพื่อการอักเสบบวมของเส้นประสาท
  • ยาฆ่าเชื้อไวรัส ในกรณีพบอาการแสดงของการติดเชื้อไวรัสงูสวัดร่วมด้วย
  • กายภาพบำบัด เช่น การกระตุ้นเส้นประสาทด้วยกระแสไฟฟ้า หรือ การนวดใบหน้า ซึ่งจะช่วยลดภาวะกล้ามเนื้อตึงเกร็งได้
  • การรักษาตามอาการอื่นๆ ได้แก่ การหยอดน้ำตาเทียมและป้ายตาด้วยขี้ผึ้งยาเพื่อป้องกันกระจกตาเป็นแผลหรือการให้วิตามินบำรุงสายตา

การปฏิบัติตัวหลังมีอาการหน้าเบี้ยวครึ่งซีก

  • ผู้ป่วยโรคเบาหวานควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • งดดื่มสุรา
  • เนื่องจากตาจะปิดไม่สนิท จึงควรสวมแว่นกันลมหรือปิดตาป้องกันกระจกตาแห้งและเป็นแผล
  • บริหารกล้ามเนื้อใบหน้าด้วยตนเองได้โดย

ที่มา
http://www.errama.com/system/spaw2/uploads/files/case%20repo..Bell.pdf
https://www.ram-hosp.co.th
https://petcharavejhospital.com
https://www.me2care.com/bell-palsy

► 9 วิธีจัดการเวลา ให้คุณจัดการสิ่งต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในวันหนึ่งๆ เรามีเวลาเท่าๆ กัน แต่เคยสังเกตหรือเปล่าว่าทำไมบ้างคนทำอะไรได้มาก ในขณะที่บ้างคนทำอะไรได้น้อย เคล็ดลับของความสำเร็จอยู่ที่การจัดการเวลาของแต่ละคนมีประสิทธิภาพไม่เท่ากัน เรามาลองดูว่าเคล็ดลับที่สรุปมานั้นมีอะไรบ้าง

  • จัดระเบียบงานที่ต้องทำ เรียงลำดับความสำคัญก่อนหลัง กำหนดเวลางานที่ต้องทำและเสร็จ
  • ตื่นนอนในเวลาเดิมทุกวัน วิธีนี้จะช่วยให้ร่างกายของเราจดจำและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพขึ้น
  • อย่าทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกัน การทำอะไรหลายอย่างพร้อมๆ กัน จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง
    เราควรทำงานให้เสร็จเป็นเรื่องๆ ไป โดยเรียงความสำคัญ
  • บันทึกหรือจดจำว่าแต่ละงานที่ทำใช้เวลาไปเท่าไหร่ เพื่อช่วยให้เราสามารถประเมินและวางแผนการทำงานได้
  • กำหนดว่าในแต่ละวันหรือช่วงเวลาไหนจะทำเรื่องอะไร เพื่อจัดระบบของความคิดและการเปลี่ยนเรื่องที่ทำจะช่วยให้ลดความล่าของสมองและร่างกาย
  • ทบทวนและวางแผนแต่ละวันก่อนนอน วิธีนี้จะช่วยให้สมองได้จัดระเบียบและพร้อมที่จะเริ่มทำงานใหม่ในวันรุ่งขึ้น
  • ทำให้ช่วงเวลาที่น่าเบื่อให้เป็นประโยชน์ เช่น ช่วงเวลาที่รถติด รอคิว หรือเดินทางไกล
  • อะไรไม่ควรอยู่ในห้องนอน เวลานอนควรเป็นเวลาที่พักผ่อนจริงๆ สมองจะใช้เวลานี้จัดระเบียบความทรงจำและความคิด
    ดังนั้นอะไรที่รบกวนเวลานอน เช่น โทรศัพท์ โทรทัศน์ ไม่ควรอยู่ในห้องนอน
  • เริ่มต้นวันใหม่ด้วยงานที่สำคัญที่สุด เพราะงานที่สำคัญจะให้ผลลัพธ์ที่มีค่ากับเรามากกว่า

เป็นอย่างไรบ้างกับเคล็ดลับเหล่านี้ที่เรานำมาแชร์ สิ่งสำคัญนอกเหนือจากเคล็ดลับเหล่านี้คือการเตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ