► แบตเตอรี่เล็กสุดในโลก ขนาดจิ๋วเท่า ‘เม็ดฝุ่น’

บรรดานักวิจัยในเยอรมนี สร้างความฮือฮา เปิดตัวแบตเตอรี่เล็กที่สุดในโลก มีขนาดพอๆ กับเม็ดฝุ่น ด้วยศักยภาพป้อนพลังงานแก่คอมพิวเตอร์ได้ทุกเวลาและทุกสถานที่

การเปิดตัวครั้งนี้มีความเป็นไปได้ที่จะช่วยจัดการกับปัญหาหลัก 2 ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี นั่นคือขาดแหล่งพลังงานบนชิป และความท้าทายต่างๆ ในด้านการผลิตไมโครแบตเตอรี่ ขณะที่การสร้างแบตเตอรี่ขนาดเล็กจิ๋วจะสามารถส่งเสริมการพัฒนาการทางเทคโนโลยี

“ผลการวิจัยของเราแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการจัดเก็บพลังงานที่น่ายินดีในขนาดเล็กกว่าตารางมิลลิเมตร” ด็อกเตอร์ Minshen Zhu หนึ่งในนักวิจัยที่อยู่เบื้องหลังโครงการนี้ระบุ ส่วนศาสตราจารย์โอลิเวอร์ ชมิดท์ เพื่อนร่วมงานของ Zhu เสริมว่า “เทคโนโลยีนี้ยังคงสามารถเพิ่มศักยภาพได้อีกมหาศาล และเราสามารถคาดหมายโมโครแบตเตอรี่ที่ดีกว่านี้มากในอนาคต”

เป้าหมายของโครงการนี้คือหาทางออกสำหรับโทคโนโลยีพลังงาน ท่ามกลางคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือที่มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ ในขณะที่บรรดาผู้บริโภคเสาะแสวงหาอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีขนาดกะทัดรัดกว่าเดิม แต่มีศักยภาพและสมรรถนะด้านเทคโนโลยีทุกอย่างแบบเดียวกับอุปกรณ์ขนาดใหญ่ของพวกเขาก่อนหน้านี้

ไมโครแบตเตอรี่แบบชาร์จไฟใหม่ได้นี้ผลิตโดยคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเชมนิทซ์ของเยอรมนี และด้วยที่มีศักยภาพป้อนพลังงานแก่ชิปคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กสุดของโลกราวๆ 10 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นแบตเตอรี่จิ๋วนี้จึงมีขีดความสามารถที่สำคัญสำหรับเทคโนโลยีต่างๆ ในอนาคต ในขณะที่อุปกรณ์ต่างๆ มีแนวโน้มปรับลดขนาดลงเรื่อยๆ

แบตเตอรี่จิ๋วนี้มีความแตกต่างจากแบตเตอรี่ดั้งเดิมลูกพี่ลูกน้องของมัน โดยเวอร์ชันที่มีขนาดเล็กลงนี้ใช้เทคโนโลยีมาตรฐานในการผลิตพลังงาน แต่มีพื้นที่ใช้สอยที่น้อยลงอย่างมาก ดังนั้น อุปกรณ์ที่พัฒนาใหม่ของคณะวิจัยจึงรวมมันไว้บนชิป ทว่ายังสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 100 ไมโครวัตต์ชั่วโมงต่อตารางเซนติเมตร

ในแถลงที่เผยแพร่โดยบรรดานักวิจัยไม่ได้เปิดเผยว่าเทคโนโลยีนี้จะถูกนำมาใช้ประโยชน์ในทางพาณิชย์เมื่อไหร่

(ที่มา : mgronline)

► Metaverse มาแล้วต้องระวังตรงไหน!? Kaspersky แนะ 5 จุดปกป้องข้อมูลตัวตนดิจิทัล

แคสเปอร์สกี้ (Kaspersky) มองทุกคนต้องเตรียมพร้อมปกป้องข้อมูลตัวตนดิจิทัลท่ามกลางกระแสความสนใจในเมตาเวิร์ส (Metaverse) ย้ำ 5 มุมมองต้องรู้เพื่อให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตคำนึงถึงความปลอดภัยของอวาตาร์ดิจิทัล และภัยคุกคามที่อาจเกี่ยวข้องกับ Metaverse

มุมมองที่ 1 คือการโจรกรรมข้อมูลตัวตนและการยึดบัญชีโดยแอนะล็อกเข้ากับโซเชียลเน็ตเวิร์กและเกมที่มีผู้เล่นหลายคน แคสเปอร์สกี้มองว่าอาจทำให้เกิดการสูญเสียข้อมูลส่วนบุคคล (เช่น ข้อมูลการติดต่อ หรือ meta-analogue) ซึ่งอาจนำไปสู่การแบล็กเมล์

“นอกจากนี้ ยังมีการขโมยสกุลเงินเสมือน เงินตราจริง หรือเงินคริปโตจากบัตรและวอลเล็ตที่เชื่อมโยงกับบัญชีหรือสิ่งของเสมือนจริงราคาแพง เช่น สกินหรือเครื่องแต่งกาย รวมถึงการใช้อวาตาร์เพื่อฉ้อโกง เช่น การขอยืมเงินจากเพื่อนและครอบครัว”

แคสเปอร์สกี้อธิบายว่า ผู้คนสามารถเชื่อมต่อกับ metaverse เป็นรูปอวาตาร์และทำทุกอย่างราวกับว่ากำลังอยู่ในโลกแห่งความจริง ทั้งค้นหาข้อมูล สื่อสารพูดคุย ชอปปิ้งและไปทำงาน แต่ในขณะเดียวกัน ก็สามารถหลีกหนีจากความเป็นจริงและอาศัยอยู่ในจักรวาลเสมือนจริงได้ อวตารของมนุษย์ใน metaverse สามารถเป็นอะไรก็ได้ตามต้องการ สามารถเป็นเจ้าของสิ่งใดด็ได้ และความตายไม่ได้มีความหมายเหมือนกับในโลกแห่งความเป็นจริง

“ตัวอย่างบางส่วนของโลกดิจิทัลในวัฒนธรรมสมัยนิยม ก็คือ ภาพยนตร์ไตรภาค The Matrix หรือ Ready Player One ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับเกมออนไลน์ OASIS ที่มีผู้เล่นหลายคนได้กลายเป็นแอนะล็อกของ metaverse โดยนอกจากจักรวาลที่แยกจากกันแล้ว ภาพเสมือนจริงก็ค่อยๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นจริงสมัยใหม่ไปแล้ว ในสหรัฐอเมริกา มีการเปิดตัวรายการ Alter Ego ซึ่งผู้เข้าแข่งขันร้องเพลงที่ด้านหลังเวที และให้เทคโนโลยีการจับภาพเคลื่อนไหวสร้างภาพอวาตาร์ดิจิทัลแทนที่ตัวเอง”

มุมมองที่ 2 ที่แคสเปอร์สกี้ชี้ว่าต้องระวังคือเรื่องวิศวกรรมสังคม (social engineering) เช่นเดียวกับบริการแอปหาคู่ แคสเปอร์สกี้มองว่าปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งคือจะต้องมีแอนะล็อกของ metaverse ที่มีความคล้ายคลึงกัน ผู้คนในโลกเสมือนจริงอาจไม่ได้เป็นอย่างที่บอกไว้ หรืออาจไม่ได้มีเจตนาที่ดี ซึ่งสามารถนำไปสู่แผนการตกเหยื่อ (catfishing) การแอบอ้างหรือสร้างตัวตนปลอมเพื่อพูดคุยปฏิสัมพันธ์ การสะกดรอยตามและกลั่นแกล้งทางออนไลน์ (stalking and doxing) แคสเปอร์สกี้และเอ็นแท็บได้พัฒนาหลักสูตรเกี่ยวกับวิธีการป้องกันตัวเองและจัดการกับการล่วงละเมิด รวมถึงอันตรายอื่นๆ ขณะที่เปลี่ยนจากโลกเสมือนจริงไปสู่โลกแห่งความจริง

มุมมองที่ 3 คือปัญหาความเป็นส่วนตัว เนื่องจาก metaverse มีความเหมือนโซเชียลมีเดียแต่เป็นโลกความเป็นจริงเสมือน ผู้ใช้ต้องระมัดระวังและปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของตน (เช่น ข้อมูลหนังสือเดินทาง หมายเลขตั๋วต่างๆ)

มุมมองที่ 4 คือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับบล็อกเชน หากใน Decentraland ตัวตนของผู้ใช้ถูกสร้างขึ้นบนวอลเล็ต ก็ยิ่งจำเป็นต้องป้องกัน

มุมมองที่ 5 คือเด็กและเยาวชนก็เป็นผู้ใช้ metaverse เป็นประจำ (active user) เช่นกัน ตัวอย่างที่โดดเด่นคือเกม Roblox ซึ่งเป็นเกมที่ได้รับความนิยมสูงสุดในหมู่เด็กและเยาวชนมาเป็นเวลานาน ดังนั้น การคาดการณ์และการรับรองความปลอดภัยจากอาชญากรจึงเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เพราะใน VR มีความเสี่ยงเรื่องการเผชิญหน้ากับผู้กระทำความผิด

ที่มา : https://mgronline.com/cyberbiz/detail/9640000124086

► เด็กดิสเล็กเซีย ไม่ใช่เด็กโง่

ไม่ใช่เรื่องน่าเสียใจ ถ้าลูกคุณได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นดิสเล็กเซีย เพราะพวกเขามีดีกว่าที่คิด

ดิสเล็กเซีย (Dyslexia) คือภาวะผิดปกติเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษา ที่ส่งผลให้ไม่สามารถอ่าน สะกดคำ หรือเขียนหนังสือ อันเป็นความผิดปกติด้านการเรียนรู้ โดยมีสาเหตุจากเซลล์สมองซีกซ้ายทำงานผิดปกติ ทำให้อ่านหนังสือช้า ถูกตราหน้าว่าเป็นเด็กโง่ ทั้งที่เด็กดิสเล็กเซียฉลาดกว่าเด็กทั่วไปด้วยซ้ำ

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, สตีเวน สปีลเบิร์ก, ออร์แลนโด บลูม, เจนนิเฟอร์ อนิสตัน ,ทอม ครูซ, คีนู รีฟส์ ,บีโธเฟน, จอห์น เลนนอน, อกาธา คริสตี้, สตีเฟน ฮอว์กิง, อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์​ ,วอร์เรน บัฟเฟต ,วินสตัน เชอร์ชิล ฯลฯ ล้วนเป็นคนดังที่เป็นดิสเล็กเซ๊ย ซึ่งเป็นความผิดปกติท่ีคนไทยเริ่มรู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ แต่จะเป็นอย่างไรหากลูกของเราเป็นดิสเล็กเซีย เพราะดิสเล็กเซียเป็นอาการที่ไม่สามารถรักษาหายด้วยยา ขอเพียงพ่อแม่และครูมีความเข้าใจ เด็กดิสเล็กเซียก็จะเติบโตมาอย่างมีความสุขได้ไม่ยาก

–สร้างโอกาสอย่างเป็นระบบให้ลูกได้แสดงความสามารถ
เด็กดิสเล็กเซียจำเป็นจะต้องได้รับโอกาสที่จะค้นหาตัวเองว่า มีความสามารถทางด้านไหน และมีแพสชั่นกับอะไรมากเป็นพิเศษ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเด็กดิสเล็กเซียอยากออกไปสร้างปราสาทที่สนามเด็กเล่น และคุณต้องเรียกเขากลับบ้านหลายครั้งหลายหน แสดงว่าเขากำลังสนุกกับกิจกรรมนั้นๆ จนลิมเวลาไปเสียสนิท
เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ปกครองหรือครูจะต้องคอยค้นหาความสามารถ ที่แฝงอยู่ในตัวของเด็กดิสเล็กเซีย เพราะพวกเขาอาจจะสามารถทำ ในสิ่งที่คนอื่นบอกว่าพวกเขาทำไม่ได้ก็ได้

อย่าเปรียบเทียบลูกกับคนดังที่เป็นดิสเล็กเซีย
ถ้าคุณคิดที่จะเปิดเว็บไซต์เกี่ยวกับคนดังที่เป็นดิสเล็กเซียซึ่งมีอยู่มากมายให้ลูกดู แง่หนึ่งก็เป็นความคิดที่ดีนะ แต่คิดอีกทีมันอาจเป็นผลเสียมากกว่าผลดีก็ได้ การพยายามปลอบใจเด็กดิสเล็กเซีย ด้วยคำพูดว่า ‘ไอน์สไตน์ก็เป็นดิสเล็กเซีย’ อาจทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกเปรียบเทียบ
เด็กดิสเล็กเซียมีความฉลาดมากกว่าเด็กทั่วไป และมีความสามารถในการจับผิดคนได้อย่างแม่นยำ พวกเขารู้ว่าตัวเองไม่เป็นและจะไม่มีวันเป็นแบบไอน์สไตน์

เด็กดิสเล็กเซียประสบความสำเร็จไม่น้อยกว่าเด็กฉลาด
เด็กดิสเล็กเซียอาจจะอ่านไม่เก่ง แต่พวกเขาก็เป็นนักคิดที่ว่องไว ความสามารถในการถอดรหัส สะกดคำ และการอ่านของเด็กดิสเล็กเซียอาจอ่อนแอ แต่ห้วงแห่งความคิดของพวกเขากลับเต็มไปด้วยความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดแบบขั้นสูง ความคิดเชิงสร้างสรรค์ และการแก้ปัญหา
จากการสำรวจชีวิตศิษย์เก่า Yale University ทั้งที่เป็นดิสเล็กเซีย และไม่เป็น ปรากฏว่าพวกที่เป็นดิสเล็กเซียจำนวนไม่น้อยที่สามารถจบการศึกษา และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและในชีวิตส่วนตัว

–เปิดโอกาสให้เด็กดิสเล็กเซียมีบทบาทในครอบครัว
เด็กที่เป็นดิสเล็กเซียอาจมีดีซ่อนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการทำความเข้าใจกลไกชั้นสูง หรือทำอาหาร การให้โอกาสเด็กดิสเล็กเซียมีบทบาทในครอบครัว อาจช่วยให้พวกเขากลายเป็นนักแก้ปัญหา หรือเป็นเชฟประจำครอบครัวก็เป็นได้

–จับมือกับครู
ร่วมมือกับครูประจำชั้น เพื่อให้ครูทราบว่าคุณกับครูเป็นพวกเดียวกัน และมีความเป็นธรรมในการประเมินความสามารถและจุดอ่อนของลูก อย่าให้เด็กดิสเล็กเซียออกไปอ่านหนังสือหน้าชั้นเรียน หรือเป็นจุดสนใจของเพื่อนๆ
ตรงกันข้ามให้ครูทราบว่าพวกเขาเก่งเรื่องอะไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศิลปะ หรือการทำงานเป็นทีม และอย่าลืมขอโอกาสให้เด็กดิสเล็กเซียได้แสดงความสามารถบ้าง เช่นเป็นผู้ช่วยครูในชั้นเรียนศิลปะ

โรงเรียนเป็นของชั่วคราวความฉลาดสิของจริง
ที่โรงเรียน คนอาจจะเห็นแต่จุดอ่อนของเด็กดิสเล็กเซีย แต่เมื่อพวกเขาโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ความสามารถในการคิดของพวกเขาจะกลายเป็นจุดแข็ง และหล่อหลอมให้เด็กดิสเล็กเซียกลายเป็นมนุษย์โดยสมบูรณืเช่นเดียวกับเด็กคนอื่นๆ

9 จุดเด่นของ Dyslexia

  1. มองเห็นกว้างกว่า
    คนที่เป็น Dyslexia มักจะมองเห็นสิ่งต่างๆ แบบเป็นองค์รวม เช่น เมื่อเขาเจอต้นไม้เขาจะเห็นป่า
    Matthew H. Schneps, มหาวิทยาลัย Harvard กล่าวว่า “ราวกับว่าคนที่เป็น Dyslexia มักจะใช้เลนส์มุมกว้างในการมองโลก ในขณะที่คนอื่น ๆ มักจะใช้เลนส์มุมแคบ แต่แต่ละอันก็ดีที่สุดในการเปิดเผยรายละเอียดที่แตกต่างกัน
  2. พบสิ่งที่แปลกออกไป
    คนที่เป็น dyslexia นั้นเก่งในด้านการประมวลผลภาพระดับโลกและการตรวจจับตัวเลขที่เป็นไปไม่ได้ Christopher Tonkin นักวิทยาศาสตร์ Dyslexic อธิบายถึงความรู้สึกผิดปกติของเขาต่อ “บางสิ่งที่ต่างออกไป” นักวิทยาศาสตร์ในสายงานของเขาจะต้องทำความเข้าใจกับข้อมูลภาพจำนวนมหาศาลและค้นหาความผิดปกติของหลุมดำได้อย่างแม่นยำ
  3. ปรับปรุงการจดจำรูปแบบ
    ผู้คนที่เป็น dyslexia มีความสามารถในการดูว่าสิ่งต่าง ๆ เชื่อมต่อกับระบบที่ซับซ้อนอย่างไร และเพื่อใช้ระบุความคล้ายคลึงกันในหลาย ๆ สิ่ง จุดแข็งดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะมีความสำคัญเป็นพิเศษสำหรับหลายๆสาขาวิชา เช่น วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ซึ่งมีการแสดงภาพเป็นกุญแจสำคัญ
  4. มีความรู้เชิงพื้นที่ดี
    หลายคนที่เป็น dyslexia มีทักษะที่ดีกว่าในการจัดการกับวัตถุ 3 มิติในใจของพวกเขา สถาปนิกและนักออกแบบแฟชั่นชั้นนำของโลกหลายคนเป็น dyslexia
  5. รูปภาพนักคิด
    คนที่เป็น dyslexia มักจะคิดเป็นรูปมากกว่าคำพูด การวิจัยที่มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนียแสดงให้เห็นว่าเด็ก ๆ ที่เป็น dyslexia จะมีหน่วยความจำในการจดจำภาพที่มากกว่าคนปกติ Auguste Rodin ประติมากรชาวฝรั่งเศสในสมัยศตวรรษที่สิบเก้าสามารถมองภาพเขียนในพิพิธภัณฑ์ในแต่ละวันและวาดภาพจากความทรงจำในตอนกลางคืน dyslexia ของเขาหมายความว่าเขาแทบจะไม่สามารถอ่านหรือเขียนเมื่ออายุ 14 โดยมีทักษะการอ่านของเขาพัฒนาขึ้นในภายหลัง
  6. การมองเห็นสิ่งรอบข้างได้อย่างชัดเจน
    คนที่เป็น dyslexia มีการมองเห็นรอบข้างดีกว่าคนส่วนใหญ่ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาสามารถมองภาพรวมทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่ามันจะยากที่จะมุ่งเน้นไปที่คำแต่ละคำ แต่ dyslexia ดูเหมือนจะทำให้การมองเห็นขอบด้านนอกได้ง่าย James Howard Jr. ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยคาทอลิกแห่งอเมริกาบรรยายในวารสาร Neuropsychologia ซึ่งเป็นการทดลองที่ผู้เข้าร่วมถูกขอให้เลือกตัวอักษร T จากทะเลตัวอักษร L ที่ลอยอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ผู้ที่เป็น dyslexia ระบุได้เร็วกว่าปกติ
  7. ผู้ประกอบการธุรกิจ
    คุณรู้หรือไม่ว่าผู้ประกอบการชาวอเมริกัน 1 ใน 3 มี Dyslexia?
    ผู้ประกอบการอย่าง Thomas Edison, Henry Ford, Steve Jobs และ Charles Schwab ต่างก็เป็น dyslexic บางทีความคิดเชิงกลยุทธ์และความคิดสร้างสรรค์ที่ดีกว่าอาจให้ประโยชน์ทางธุรกิจที่แท้จริง
  8. มีความคิดสร้างสรรค์สูง
    นักแสดงที่มีความคิดสร้างสรรค์มากที่สุดในโลกหลายคนมี dyslexia เช่น Johnny Depp, Keira Knighltly และ Orlando Bloom
    Pablo Picasso (ศิลปิน) ครูของปิกัสโซอธิบายเกี่ยวกับเขาว่า “มีปัญหาในการแยกแยะทิศทางของตัวอักษร” ปีกัสโซวาดภาพตัวตนของเขาตามที่เขาเห็น บางครั้งไม่เป็นระเบียบ ถอยหลัง หรือกลับหัว ภาพวาดของเขาแสดงให้เห็นถึงพลังแห่งจินตนาการซึ่งอาจเชื่อมโยงกับการที่เขาไม่สามารถที่จะมองเห็นคำได้อย่างถูกต้อง
  9. การคิดนอกกรอบ – การแก้ปัญหา
    ผู้ที่เป็น dyslexia ใช้การแก้ปัญหาด้วยวิธีการนอกกรอบ การคิดนอกกรอบเป็นวิธีการที่ dyslexia ใช้ ซึ่งในบางครั้งเหมือนเป็นเรื่องเพ้อฝัน

ต้นฉบับ :
https://th.hellomagazine.com/education/dyslexia-children-are-not-stupid/
https://www.brainandlifecenter.com/braintraining-improve-dyslexia/
ที่มา : The Boston Globe

► การปลูกกัญชามี 3 รูปแบบ

รู้หรือไม่? การปลูกกัญชามี 3 รูปแบบ

  1. ระบบเปิด (Outdoor) ปลูกกลางเเจ้ง
  2. ระบบกึ่งเปิด (Greenhouse) ปลูกในโรงเรือน
  3. ระบบปิด (Indoor) ปลูกในสถานที่ปิด

การปลูกกัญชาไม่ง่าย ต้องศึกษาข้อมูลให้ดี ดังนี้

  1. สายพันธุ์ต้องเหมาะสภาพเเวดล้อม
  2. รูปแบบการปลูก ต้องเหมาะกับพื้นที่
  3. การจัดการดิน
  4. การให้ปุ๋ย
  5. การให้น้ำ
  6. แมลงศัตรูพืช
  7. การดูแลระหว่างปลูก

หากเราดูแลต้นกัญชาอย่างถูกวิธี จะส่งผลให้เราได้ผลผลิตจากกัญชาที่มีคุณภาพ เป็นที่ต้องการของท้องตลาด

ข้อมูลจาก สำนักข่าวไทย อสมท (ช่อง 9MCOT HD เลข 30 | Thai News Agency MCOT)

https://youtu.be/L3ePhKA8mhs?t=1

► 5 ขั้นตอนน่ารู้…ก่อนปลูกกัญชา

CANNHEALTH EXCLUSIVE : 5 ขั้นตอนน่ารู้…ก่อนปลูกกัญชา กับเทคนิคต่างๆในการปลูกกัญชา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเลือกสายพันธุ์ สถานที่ปลูกหรือแม้กระทั้งการเลือกปุ๋ยในการดูแล CANNHEALTH เคยนำเสนอเรื่อง “7 ปัจจัยสำคัญในการปลูกกัญชา” มาแล้ว วันนี้ขอนำเสนอเรื่อง “5 ขั้นตอนน่ารู้…ก่อนปลูกกัญชา” มาดูกันว่าจะมีเรื่องอะไรที่น่าสนใจกันบ้าง

เลือกสายพันธุ์ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและอุณหภูมิ
เลือกสายพันธุ์ที่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมและอุณหภูมิได้ หากปลูกกลางแจ้งก็ควรเลือกสายพันธุ์ที่ทนทานต่ออุณหภูมิที่สูงกว่าปลูกในโรงเรือน

เลือกสถานที่ที่ดีที่สุด
ควรพิจารณาว่าจะปลูกกัญชาลงดินหรือในตู้คอนเทนเนอร์ หรือแบบไฮโดรโปนิกส์ โดยคำนึงถึงปัจจัยสภาพแวดล้อมได้แก่ แสง ลม อุณหภูมิน้ำฝน แมลง หากปลูกกลางแจ้งควรเป็นสถานที่ที่มีระบบการรักษาความปลอดภัยที่รัดกุม

เลือกดินที่ระบายน้ำได้ดีและอุ้มน้ำได้ดีพอเหมาะ
ควรเข้าใจส่วนประกอบของดินเพื่อที่จะปรับเปลี่ยนการเลือกใช้ให้เข้ากับสายพันธุ์ที่เลือกปลูก ซึ่งเนื้อดินปลูกกัญชาควรร่วนซุย ระบายน้ำได้ดีไม่ทำให้เกิดน้ำขังอยู่ด้านบนของดิน อุ้มน้ำได้ดีพอเหมาะ คือทำให้ดินเปียกแต่ไม่เป็นโคลน

เลือกปุ๋ยที่มีคุณค่าทางสารอาหารสูง
ต้นกัญชาต้องการคุณค่าทางสารอาหารสูง ซึ่งก็คือธาตุอาหารหลักของพืชอย่างฟอสฟอรัส ไนโตรเจนและโพแทสเซียม ธาตุอาหารพืชเหล่านี้สามารถผสมในน้ำและรดใส่ต้นแต่ไม่ควรรดมากจนเกินไป

เรียนรู้ขั้นตอนการดูแลระหว่างการปลูก
การรดน้ำกัญชาต้องทำให้เหมาะสมโดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อม เช่นอากาศร้อนแห้ง อากาศร้อนชื้น อากาศเย็นชื้นและฝนตกในพื้นที่ ส่วนการจัดทรงและตัดแต่งต้นกัญชาก็ควรทำเป็นประจำเพื่อความสวยงามและทำให้ใบได้รับแสงอย่างทั่วถึง

ที่มา : CANNHEALTH
หมายเหตุ : เผยแพร่ครั้งแรกเป็นภาษาไทยเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 โดย Cannhealth
เขียน/แปล: สิริญา มิตรศรัทธา
เรียบเรียง : ณัฐวุฒิ จงจิตร

► 7 ที่รับบริจาค

มูลนิธิกระจกเงา
เลขที่ 191 ซอยวิภาวดี 62 (แยก4-7) ถนนวิภาวดีรังสิต
แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร 10210
(โทรศัพท์ : 02-9732236-7 ต่อ 101)

มูลนิธิบ้านนกขมิ้น
เลขที่ 89/12 ซอยเสรีไทย 17 ถนนเสรีไทย กรุงเทพมหานคร 10240
(โทร : 02-375-6497, 02-375-2455)

บ้านเฟื่องฟ้า
เลขที่ 78/9 หมู่ 1 ถนนติวานนท์ ซอยติวานนท์-ปากเกร็ด 1 ปากเกร็ด นนทบุรี 11120
(โทร : 02-583-6815)
เสื้อผ้า ของใช้เด็ก

โครงการร้านปันกัน โดย มูลนิธิยุวพันธ์
เลขที่ 7 ซอยอ่อนนุช 90 แขวงประเวศ เขตประเวศ กรุงเทพฯ 10250
(โทร : 02-1183968-9)
เอาไปขายต่อ

สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนพญาไท
78/24 หมู่ 1 ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด นนทบุรี 11120
(โทร : 02-584-7255)
ผ้าอ้อม

ทัณฑสถานหญิงชลบุรี
เลขที่ 84 ถนนวชิรปราการ ตำบลบางปลาสร้อย อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี 2000
(โทร : 03-828-2002)
ต้องการชุดชั้นในสภาพดี

พระปลัดวาโย ถาวโร
เลขที่ 179 วัดทุ่งแล้ง ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน 58110
(โทร. 093-6759634)
เด็กชาวเขา

► ผลงานศิลปะที่ใช้ความคิดสร้างสร้างจากการออกแบบของใช้

ผลงานศิลปะที่ใช้ความคิดสร้างสร้างจากการออกแบบของใช้ ของ Katerina Kamprani
ที่มา https://www.facebook.com/theuncomfortable

► 10 สิ่งประดิษฐ์ที่ได้จากการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ

๏ กล้องโทรศัพท์มือถือ
ย้อนไปเมื่อราวปี พ.ศ. 2533 ทีมนักวิทยาศาสตร์ของ Jet Propulsion Laboratory (JPL) นาซ่า ได้คิดค้นกล้องขนาดเล็กเพื่อติดตั้งบนยานอวกาศสำหรับงานสำรวจทางวิทยาศาสตร์ สมัยนั้นอย่าว่าแต่โทรศัพท์มือถือเลยครับ แค่โทรศัพท์บ้านในบ้านพื้นที่ยังไม่รู้จักเลย และความคิดนั้นก็ได้รับการต่อยอดจนมาสู่กล้องมือถือที่ให้เราได้เซลฟี่กันนั่นเอง

๏ เลนส์กันรอยขีดข่วน
แรกเริ่มมาจากนักวิทยาศาสตร์จากศูนย์วิจัยเลวิส (Lewis) นาซ่า ได้พัฒนาวิธีการเคลือบวัสดุด้วยเพชรแข็งสำหรับอากาศยาน ต่อมากระบวนการดังกล่าวได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและมีการจดสิทธิบัตรเป็นที่เรียบร้อย

๏ เครื่องซีทีสแกน
การเดินทางในห้วงอวกาศที่มืดสนิทจำเป็นต้องมีเครื่องมือช่วยเหลือการมองเห็นเพื่อช่วยในการนำทาง นักวิทยาศาสตร์จาก JPL นาซ่าจึงได้คิดค้นการถ่ายภาพอวกาศด้วยรังสี เป็นเทคนิคการได้มาซึ่งข้อมูลโดยไม่ต้องอาศัยแสงอาทิตย์ ต่อมาพัฒนากลายมาเป็นเครื่องซีทีแสกนและใช้กันอย่างแพร่หลายในทางการแพทย์ในปัจจุบัน

๏ หลอดไฟเอลอีดี
แรกเริ่มนาซ่าพัฒนาหลอด LED แสงสีแดงขึ้นเพื่อใช้ในการวิจัยการปลูกพืชในสถานีอวกาศและกระสวยอวกาศ ต่อมาทางบริษัท Quantum Devices ได้นำมาเป็นต้นแบบพัฒนาอุปกรณ์ที่ชื่อว่า WARP-10 รักษาอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ และภายหลัง LED แสงสีต่างๆก็ได้ถูกพัฒนาขึ้น ขนาดเล็กลงและใช้พลังงานน้อยลง จนนำไปสร้างหน้าจอที่มีแสงจากด้านหลัง ต่อมาเทคนิคดังกล่าวได้ใช้เพื่อพัฒนาเป็นหน้าจอสมาร์ทโฟนและโทรทัศน์หลายรุ่นในปัจจุบัน

๏ ผ้าห่มฟอยล์ หรือ ผ้าห่มฉุกเฉิน
หากใครนึกไม่ออกก็ให้นึกถึงตอนที่ผ้าห่มที่ทีมหมูป่าใช้ในถ้ำระหว่างรอเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือออกจากถ้ำนะครับ ซึ่งพัฒนามาจากฉนวนกันความร้อนจากดวงอาทิตย์ใช้กับดาวเทียมหรือยานอวกาศที่ปฎิบัติภาระกิจในอวกาศ ต่อมาได้กลายมาเป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตอย่างหนึ่งที่จะขาดเสียมิได้ในงานกู้ภัยและการให้ความช่วยเหลือ ประโยชน์ของฟอยล์ก็เพื่อกักเก็บความร้อนภายในร่างกายคนเราไม่ให้ออกสู่สิ่งแวดล้อมมากเกินไป จนทำให้เกิดภาวะตัวเย็นหรืออุณหภูมิกายต่ำผิดปกติ (Hypothermia) ที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

๏ เครื่องดูดฝุ่น
ในช่วงยุคแห่งการสำรวจดวงจันทร์ นาซ่าร่วมกับบริษัท Black & Decker ได้ร่วมกันออกแบบและพัฒนาอุปกรณ์เก็บชิ้นส่วนตัวอย่างหินจากดวงจันทร์ ภายใต้โครงการ Apollo ต่อมาในปีพ.ศ. 2522 ไอเดียดังกล่าวได้ถูกพัฒนาต่อยอดจนกลายเป็นเครื่องดูดฝุ่นที่เราใช้อยู่ตามบ้านในปัจจุบัน

๏ เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรด
นาซ่าร่วมกับบริษัท Diatek พัฒนาเครื่องวัดอุณหภูมิร่างกายผ่านทางหู โดยอาศัยคลื่นอินฟาเรดเพื่อตรวจวัดค่าพลังงานที่ได้จากแก้วหูของนักบินอวกาศ ต่อมาเครื่องดังกล่าวกลายเป็นต้นแบบการพัฒนาเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดในปัจจุบันและถูกนำไปใช้งานหลากหลายยิ่งขึ้น เช่น การตรวจสอบอุณหภูมิของอาหารจานร้อน อุณหภูมิของชิ้นส่วนต่างๆของร่างกาย อุณหภูมิน้ำหล่อเย็น รวมถึงทางการแพทย์ เป็นต้น และได้ถูกวางจำหน่ายในท้องตลาดเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2534

๏ หูฟังแบบไร้สาย
ไอเดียแรกเริ่มมาจากเพื่ออำนวยความสะดวกนักบินอวกาศในระหว่างปฎิบัติภารกิจ และเพิ่มความปลอดภัยในการปฎิบัติภารกิจจากสายต่างๆ ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2505 ก็ได้นำมาใช้กับนักบินสายการบิน United Airlines และพนักงานควบคุมการจราจรทางอากาศในเวลาต่อมา

๏ อาหารแช่แช็งแห้ง
หนึ่งในสิ่งที่นาซ่าได้ทุ่มทุนทำการวิจัยอย่างหนักหน่วง ก็คือเรื่องอาหารที่จะให้นักบินอวกาศใช้ทานในอวกาศ มีหลากหลายเทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การแช่แข็งแห้ง คือ การเอาความชื้นออกจากวัสดุที่แช่แข็งแล้ว ในขณะที่มันยังคงอยู่ในสภาพเดิม รักษารูปร่างและโครงสร้างไว้เหมือนเดิม รวมถึงรักษาคุณค่าทางอาหารให้คงเดิมได้ถึง 98% ในขณะที่น้ำหนักของอาหารลดเหลือเพียง 20% ปัจจุบันไอเดียดังกล่าวมีความสำคัญมากในธุรกิจส่งออกอาหาร

๏ เมาส์
ย้อนไปในช่วงยุคต้นคริสต์ทศวรรษ 1960 นักวิจัยนาซ่าได้พยายามคิดค้นวิธีที่จะทำให้คอมพิวเตอร์ตอบสนองได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการคำนวณในภารกิจต่างๆของนาซ่าที่ต้องอาศัยการพิมพ์ป้อนคำสั่งอย่างเดียวในขณะนั้น ต่อมาได้มีการนำเสนอไอเดียการจัดการข้อมูลผ่านจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งก็นำมาสู่การประดิษฐ์เมาส์ควบคุมการสั่งการผ่านหน้าจอ เป็นต้นแบบการพัฒนาจนเป็นเมาส์ไร้สาย แป้นควบคุม รวมถึงหน้าจอสัมผัสในปัจจุบัน แม้ว่าเมาส์จะไม่เป็นผลผลิตที่เกี่ยวข้องกับการสำรวจอวกาศโดยตรงแต่ก็นับว่าเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญที่ทำให้ภารกิจของนาซ่าประสบความสำเร็จ สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการแก้ปัญขาของมนุษย์เรา

ทั้งหมดนี้ บอกได้เลยว่ายังเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ในอีกหลากหลายนวัตกรรมที่เป็นผลพลอยได้จากการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ จะได้เห็นว่าสิ่งประดิษฐ์บางชิ้นที่ได้คิดค้นขึ้นมาในอดีต เพื่อเพียงแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำๆ เดิมๆ แต่มันได้เปลี่ยนชีวิตเราให้สะดวกขึ้นแล้วในปัจจุบัน

ที่มา GISTDA

► ประโยชน์ของน้ำขิง

๏ ช่วยย่อยอาหาร แก้อาการท้องอืด
สารประกอบฟีโนลิกในขิงมีส่วนช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองในลำไส้ พร้อมทั้งยังมีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร นอกจากนี้ขิงยังมีฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้อย่างอ่อน ส่งผลให้อาการท้องอืด แน่นท้อง และอาการท้องเฟ้อบรรเทาลงได้

บรรเทาอาการคลื่นไส้
ฤทธิ์ร้อนของขิงเป็นยาแก้อาการคลื่นไส้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอาการคลื่นไส้ที่เกิดจากความผิดปกติของกระเพาะอาหารและลำไส้ ที่ได้รับสารเคมีหรืออาหารแสลงบางอย่างมา นอกจากนี้ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Support Care Cancer เมื่อปี 2012 ยังบอกด้วยว่า การดื่มน้ำขิงเป็นประจำทุกวันจะสามารถลดอาการคลื่นไส้ในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาด้วยเคมีบำบัดได้ด้วยนะคะ

ช่วยลดน้ำหนัก
ผลการศึกษาของนักวิจัยชาวญี่ปุ่นที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Pharmaceutical Society of Japan ในปี 2008 พบว่า ขิงมีส่วนช่วยเพิ่มการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกาย ทำให้ร่างกายสามารถเผาผลาญไขมันได้มากกว่าปกติ จึงมีส่วนช่วยลดน้ำหนักได้ นอกจากนี้น้ำขิงอุ่น ๆ ยังสามารถช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย ลดอาการท้องผูก รวมทั้งลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นสาเหตุของความเครียด อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ร่างกายบริโภคไขมันมากขึ้นจนทำให้น้ำหนักขึ้นได้อีกด้วย

๏ ฆ่าเชื้อโรคและแบคทีเรีย
จากการทดลองน้ำที่ได้จากการแช่ขิงพบว่า น้ำขิงสามารถยับยั้งการเติบโตของเชื้อแบคทีเรียและพยาธิชนิดต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งสารจิงเกอร์รอลในขิงยังมีอานุภาพมากพอจะลดโอกาสติดเชื้อต่าง ๆ ของร่างกายได้โดยเฉพาะหากเราดื่มน้ำขิงเป็นประจำทุกวัน สารจิงเกอร์รอลจะต่อสู้กับเชื้อไวรัสโรคหวัดและอาการไข้ได้อย่างเต็มที่ เราก็จะมีสุขภาพที่ดีห่างไกลจากโรคหวัดได้ง่าย ๆ

บำรุงรักษาสุขภาพช่องปาก
สารจิงเกอร์รอลของขิงยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพช่องปากด้วยนะคะ โดยมีส่วนช่วยกำจัดเชื้อโรคอันเป็นสาเหตุของโรคเหงือกอักเสบและคราบพลัคในช่องปากเราได้อย่างมีประสิทธิภาพเชียวล่ะ

๏ ช่วยลดอาการอักเสบ
ขิงอุดมไปด้วยสารต้านการอักเสบ และสารต้านอนุมูลอิสระก็ค่อนข้างสูงนอกจากนี้ในขิงยังมีสารจิงเกอร์รอล (Gingerol) ซึ่งมีฤทธิ์รุนแรงกว่าแอสไพริน และยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบภายในร่างกาย ดังนั้นหากดื่มน้ำขิงเป็นประจำ ก็จะช่วยป้องกันการอักเสบในร่างกายได้อีกทางหนึ่ง

๏ เป็นยาลดปวด
อย่างที่บอกว่าสารจิงเกอร์รอลมีฤทธิ์แรงกว่ายาแอสไพรินซะอีก ซึ่งก็สอดคล้องกับการศึกษาจาก University of Georgia ที่พบว่า การดื่มน้ำขิงเป็นประจำทุกวันมีส่วนช่วยลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเนื่องจากการออกกำลังกายได้ราว ๆ 25% เลย

๏ แก้ปวดประจำเดือน
คุณสมบัติข้อนี้ของขิงเป็นสิ่งที่สาว ๆ ทุกคนคู่ควรอย่างแรง โดยผลการศึกษาจาก University of Georgia พบว่า นอกจากขิงจะช่วยลดอาการปวดเมื่อยเนื้อตัวได้แล้ว น้ำขิงยังมีฤทธิ์บรรเทาอาการปวดประจำเดือนของสาว ๆ ได้ราว ๆ 47% เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียน และอาการท้องเสียที่สาว ๆ บางคนอาจจะเป็นระหว่างวันแดงเดือดได้ด้วย

ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง
การศึกษาใน British Journal of Nutrition ระบุว่า น้ำขิงมีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ เนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง อีกทั้งในน้ำขิงยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย และยังมีสารเคมีธรรมชาติที่ไปช่วยกระตุ้นเอนไซม์กลูตาไธโน-เอส-ทรานสเฟอรเรส สารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งที่จะชวยลดโอกาสเกิดเซลล์มะเร็งร้ายได้

ที่มา : คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

► นอนเยอะแล้วแต่ทำไมยังรู้สึกเหนื่อย

เพราะการนอนเป็นแค่ส่วนนึงของการพักเท่านั้น
หลายครั้งที่เรารู้สึกเหนื่อยถึงแม้จะนอนมาเต็มอิ่มแล้วก็ตาม เพราะจริงๆ แล้ว การนอนนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนนึงของการพักเท่านั้น การนอนหลับเป็นเพียงการพักทางกายภาพเท่านั้น จริงๆ แล้ว การพักผ่อนที่จะช่วยฟื้นฟูร่างกายของเรานั้นมีทั้งหมด 7 ด้านด้วยกัน

  1. พักกาย
    ไม่ว่าจะเป็นการนอนหลับที่เราต้องนอนให้พอในแต่ละวัน หรือการงีบ นอกจากการนอนเฉยๆ แล้ว การสร้างความยืดหยุ่นให้ร่างกายอย่างการออกกำลังกาย โยคะ นวด ก็ถือว่าเป็นการพักกายด้วยเหมือนกัน
  2. พักจิตใจ
    บ่อยครั้งที่เรารู้สึกหงุดหงิดง่ายและขี้หลงขี้ลืม นั่นเป็นสัญญาณว่าเราต้องพักจิตใจบ้างแล้ว การจดจ่อกับงานทั้งวันแม้แต่ตอนกำลังจะนอน ความเครียดระหว่างวันที่เราต้องเผชิญนั้นส่งผลกระทบต่อจิตใจและร่างกายของเรา ในบางครั้งก็มาในรูปแบบของการนอนไม่หลับ คุณหมอบอกเราว่า คุณไม่ต้องถึงขนาดลาพักร้อนเพื่อที่จะพักจิตใจก็ได้ เพียงแค่จัดตารางให้ตัวเองได้มีเวลาพักระหว่างวัน ไปยืดเส้นยืดสาย ละสายตาจากจอ หรือพักงีบซักหน่อย และช่วงก่อนนอนถ้ายังรู้สึกมีเรื่องกวนใจ ก็ให้ลองจดสิ่งเหล่านั้นลงกระดาษไว้
  3. พักประสาทสัมผัส
    แสงจ้า แสงจากคอมพิวเตอร์ หูที่ต้องคอยฟังเสียงรบกวน ประสาทสัมผัสต่างๆ ของเราถูกใช้งานงานตลอดทั้งวัน ให้เวลาประสาทสัมผัสของเราได้พักบ้าง รู้สึกว่าใช้ส่วนไหนหนักไปก็พักสิ่งนั้น อย่างถ้าใช้ตาจ้องจอเยอะ ก็ให้ละสายตาจากจอบ้าง ลดการใช้เวลาอยู่กับพวกอุกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะช่วงก่อนนอน
  4. พักการใช้ความคิด
    เราที่ใช้สมองเค้นความคิดออกมาตลอดทั้งวันต้องเกิดความเหนื่อยล้าแน่นอน ลองพาตัวเองไปเจออะไรที่สวยงามอย่างการสัมผัสธรรมชาติบ้าง แต่ในช่วงนี้การไปข้างนอกออกจะลำบากไปซักหน่อย อาจลองเปลี่ยนเป็นการหันไปมองต้นไม้ที่เราปลูกไว้ที่บ้าน ก็ช่วยให้เราได้รีเฟรชความคิด พร้อมลุยงานต่อ
  5. พักอารมณ์
    ไม่ไหวก็บอกไม่ไหว เหนื่อยก็บอกเหนื่อย การซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองเป็นการปลดปล่อยอารมณ์ของเราให้ได้พักผ่อนบ้าง อาจลองคุยกับใครซักคนให้สบายใจ หรือจดไดอารี่ดูก็ได้เหมือนกัน
  6. พักจากผู้คน
    บางครั้งการที่ต้องปฎิสัมพันธ์กับผู้อื่นเป็นสิ่งที่ค่อนข้างใช้พลังเยอะซึ่งทำให้เราหมดแรง การที่เราปลีกตัวออกมาแล้วใช้เวลากับตัวเองก็ถือเป็นการพักผ่อนที่ดี และถ้าเรารู้สึกว่าเรากำลังอยู่ในสังคมที่มีแต่พลังลบอยู่รอบๆ ตัว ให้รีบพาตัวเองออกมาก่อนที่จะถูกพลังลบนั้นกลืนกิน
  7. พักทางใจ
    การทำสมาธิ ช่วยให้เราได้อยู่กับตัวเอง ใช้เวลาตรงนี้ทบทวนเป้าหมาย ความสุข ความต้องการของตัวเอง ทำให้มีสติมากขึ้น เป็นการพักทางใจจากข้างในที่จะเชื่อมต่อกายและจิตใจเข้าด้วยกัน

ที่มา :
https://ideas.ted.com/the-7-types-of-rest-that-every-person-needs
Facebook : Torpenguin – ผู้ชายขายบริการ