หมวดหมู่: สุขภาพ

► เด็กดิสเล็กเซีย ไม่ใช่เด็กโง่

ไม่ใช่เรื่องน่าเสียใจ ถ้าลูกคุณได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นดิสเล็กเซีย เพราะพวกเขามีดีกว่าที่คิด

ดิสเล็กเซีย (Dyslexia) คือภาวะผิดปกติเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษา ที่ส่งผลให้ไม่สามารถอ่าน สะกดคำ หรือเขียนหนังสือ อันเป็นความผิดปกติด้านการเรียนรู้ โดยมีสาเหตุจากเซลล์สมองซีกซ้ายทำงานผิดปกติ ทำให้อ่านหนังสือช้า ถูกตราหน้าว่าเป็นเด็กโง่ ทั้งที่เด็กดิสเล็กเซียฉลาดกว่าเด็กทั่วไปด้วยซ้ำ

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, สตีเวน สปีลเบิร์ก, ออร์แลนโด บลูม, เจนนิเฟอร์ อนิสตัน ,ทอม ครูซ, คีนู รีฟส์ ,บีโธเฟน, จอห์น เลนนอน, อกาธา คริสตี้, สตีเฟน ฮอว์กิง, อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์​ ,วอร์เรน บัฟเฟต ,วินสตัน เชอร์ชิล ฯลฯ ล้วนเป็นคนดังที่เป็นดิสเล็กเซ๊ย ซึ่งเป็นความผิดปกติท่ีคนไทยเริ่มรู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ แต่จะเป็นอย่างไรหากลูกของเราเป็นดิสเล็กเซีย เพราะดิสเล็กเซียเป็นอาการที่ไม่สามารถรักษาหายด้วยยา ขอเพียงพ่อแม่และครูมีความเข้าใจ เด็กดิสเล็กเซียก็จะเติบโตมาอย่างมีความสุขได้ไม่ยาก

–สร้างโอกาสอย่างเป็นระบบให้ลูกได้แสดงความสามารถ
เด็กดิสเล็กเซียจำเป็นจะต้องได้รับโอกาสที่จะค้นหาตัวเองว่า มีความสามารถทางด้านไหน และมีแพสชั่นกับอะไรมากเป็นพิเศษ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเด็กดิสเล็กเซียอยากออกไปสร้างปราสาทที่สนามเด็กเล่น และคุณต้องเรียกเขากลับบ้านหลายครั้งหลายหน แสดงว่าเขากำลังสนุกกับกิจกรรมนั้นๆ จนลิมเวลาไปเสียสนิท
เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ปกครองหรือครูจะต้องคอยค้นหาความสามารถ ที่แฝงอยู่ในตัวของเด็กดิสเล็กเซีย เพราะพวกเขาอาจจะสามารถทำ ในสิ่งที่คนอื่นบอกว่าพวกเขาทำไม่ได้ก็ได้

อย่าเปรียบเทียบลูกกับคนดังที่เป็นดิสเล็กเซีย
ถ้าคุณคิดที่จะเปิดเว็บไซต์เกี่ยวกับคนดังที่เป็นดิสเล็กเซียซึ่งมีอยู่มากมายให้ลูกดู แง่หนึ่งก็เป็นความคิดที่ดีนะ แต่คิดอีกทีมันอาจเป็นผลเสียมากกว่าผลดีก็ได้ การพยายามปลอบใจเด็กดิสเล็กเซีย ด้วยคำพูดว่า ‘ไอน์สไตน์ก็เป็นดิสเล็กเซีย’ อาจทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกเปรียบเทียบ
เด็กดิสเล็กเซียมีความฉลาดมากกว่าเด็กทั่วไป และมีความสามารถในการจับผิดคนได้อย่างแม่นยำ พวกเขารู้ว่าตัวเองไม่เป็นและจะไม่มีวันเป็นแบบไอน์สไตน์

เด็กดิสเล็กเซียประสบความสำเร็จไม่น้อยกว่าเด็กฉลาด
เด็กดิสเล็กเซียอาจจะอ่านไม่เก่ง แต่พวกเขาก็เป็นนักคิดที่ว่องไว ความสามารถในการถอดรหัส สะกดคำ และการอ่านของเด็กดิสเล็กเซียอาจอ่อนแอ แต่ห้วงแห่งความคิดของพวกเขากลับเต็มไปด้วยความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดแบบขั้นสูง ความคิดเชิงสร้างสรรค์ และการแก้ปัญหา
จากการสำรวจชีวิตศิษย์เก่า Yale University ทั้งที่เป็นดิสเล็กเซีย และไม่เป็น ปรากฏว่าพวกที่เป็นดิสเล็กเซียจำนวนไม่น้อยที่สามารถจบการศึกษา และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและในชีวิตส่วนตัว

–เปิดโอกาสให้เด็กดิสเล็กเซียมีบทบาทในครอบครัว
เด็กที่เป็นดิสเล็กเซียอาจมีดีซ่อนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการทำความเข้าใจกลไกชั้นสูง หรือทำอาหาร การให้โอกาสเด็กดิสเล็กเซียมีบทบาทในครอบครัว อาจช่วยให้พวกเขากลายเป็นนักแก้ปัญหา หรือเป็นเชฟประจำครอบครัวก็เป็นได้

–จับมือกับครู
ร่วมมือกับครูประจำชั้น เพื่อให้ครูทราบว่าคุณกับครูเป็นพวกเดียวกัน และมีความเป็นธรรมในการประเมินความสามารถและจุดอ่อนของลูก อย่าให้เด็กดิสเล็กเซียออกไปอ่านหนังสือหน้าชั้นเรียน หรือเป็นจุดสนใจของเพื่อนๆ
ตรงกันข้ามให้ครูทราบว่าพวกเขาเก่งเรื่องอะไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศิลปะ หรือการทำงานเป็นทีม และอย่าลืมขอโอกาสให้เด็กดิสเล็กเซียได้แสดงความสามารถบ้าง เช่นเป็นผู้ช่วยครูในชั้นเรียนศิลปะ

โรงเรียนเป็นของชั่วคราวความฉลาดสิของจริง
ที่โรงเรียน คนอาจจะเห็นแต่จุดอ่อนของเด็กดิสเล็กเซีย แต่เมื่อพวกเขาโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ความสามารถในการคิดของพวกเขาจะกลายเป็นจุดแข็ง และหล่อหลอมให้เด็กดิสเล็กเซียกลายเป็นมนุษย์โดยสมบูรณืเช่นเดียวกับเด็กคนอื่นๆ

9 จุดเด่นของ Dyslexia

  1. มองเห็นกว้างกว่า
    คนที่เป็น Dyslexia มักจะมองเห็นสิ่งต่างๆ แบบเป็นองค์รวม เช่น เมื่อเขาเจอต้นไม้เขาจะเห็นป่า
    Matthew H. Schneps, มหาวิทยาลัย Harvard กล่าวว่า “ราวกับว่าคนที่เป็น Dyslexia มักจะใช้เลนส์มุมกว้างในการมองโลก ในขณะที่คนอื่น ๆ มักจะใช้เลนส์มุมแคบ แต่แต่ละอันก็ดีที่สุดในการเปิดเผยรายละเอียดที่แตกต่างกัน
  2. พบสิ่งที่แปลกออกไป
    คนที่เป็น dyslexia นั้นเก่งในด้านการประมวลผลภาพระดับโลกและการตรวจจับตัวเลขที่เป็นไปไม่ได้ Christopher Tonkin นักวิทยาศาสตร์ Dyslexic อธิบายถึงความรู้สึกผิดปกติของเขาต่อ “บางสิ่งที่ต่างออกไป” นักวิทยาศาสตร์ในสายงานของเขาจะต้องทำความเข้าใจกับข้อมูลภาพจำนวนมหาศาลและค้นหาความผิดปกติของหลุมดำได้อย่างแม่นยำ
  3. ปรับปรุงการจดจำรูปแบบ
    ผู้คนที่เป็น dyslexia มีความสามารถในการดูว่าสิ่งต่าง ๆ เชื่อมต่อกับระบบที่ซับซ้อนอย่างไร และเพื่อใช้ระบุความคล้ายคลึงกันในหลาย ๆ สิ่ง จุดแข็งดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะมีความสำคัญเป็นพิเศษสำหรับหลายๆสาขาวิชา เช่น วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ซึ่งมีการแสดงภาพเป็นกุญแจสำคัญ
  4. มีความรู้เชิงพื้นที่ดี
    หลายคนที่เป็น dyslexia มีทักษะที่ดีกว่าในการจัดการกับวัตถุ 3 มิติในใจของพวกเขา สถาปนิกและนักออกแบบแฟชั่นชั้นนำของโลกหลายคนเป็น dyslexia
  5. รูปภาพนักคิด
    คนที่เป็น dyslexia มักจะคิดเป็นรูปมากกว่าคำพูด การวิจัยที่มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนียแสดงให้เห็นว่าเด็ก ๆ ที่เป็น dyslexia จะมีหน่วยความจำในการจดจำภาพที่มากกว่าคนปกติ Auguste Rodin ประติมากรชาวฝรั่งเศสในสมัยศตวรรษที่สิบเก้าสามารถมองภาพเขียนในพิพิธภัณฑ์ในแต่ละวันและวาดภาพจากความทรงจำในตอนกลางคืน dyslexia ของเขาหมายความว่าเขาแทบจะไม่สามารถอ่านหรือเขียนเมื่ออายุ 14 โดยมีทักษะการอ่านของเขาพัฒนาขึ้นในภายหลัง
  6. การมองเห็นสิ่งรอบข้างได้อย่างชัดเจน
    คนที่เป็น dyslexia มีการมองเห็นรอบข้างดีกว่าคนส่วนใหญ่ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาสามารถมองภาพรวมทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่ามันจะยากที่จะมุ่งเน้นไปที่คำแต่ละคำ แต่ dyslexia ดูเหมือนจะทำให้การมองเห็นขอบด้านนอกได้ง่าย James Howard Jr. ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยคาทอลิกแห่งอเมริกาบรรยายในวารสาร Neuropsychologia ซึ่งเป็นการทดลองที่ผู้เข้าร่วมถูกขอให้เลือกตัวอักษร T จากทะเลตัวอักษร L ที่ลอยอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ผู้ที่เป็น dyslexia ระบุได้เร็วกว่าปกติ
  7. ผู้ประกอบการธุรกิจ
    คุณรู้หรือไม่ว่าผู้ประกอบการชาวอเมริกัน 1 ใน 3 มี Dyslexia?
    ผู้ประกอบการอย่าง Thomas Edison, Henry Ford, Steve Jobs และ Charles Schwab ต่างก็เป็น dyslexic บางทีความคิดเชิงกลยุทธ์และความคิดสร้างสรรค์ที่ดีกว่าอาจให้ประโยชน์ทางธุรกิจที่แท้จริง
  8. มีความคิดสร้างสรรค์สูง
    นักแสดงที่มีความคิดสร้างสรรค์มากที่สุดในโลกหลายคนมี dyslexia เช่น Johnny Depp, Keira Knighltly และ Orlando Bloom
    Pablo Picasso (ศิลปิน) ครูของปิกัสโซอธิบายเกี่ยวกับเขาว่า “มีปัญหาในการแยกแยะทิศทางของตัวอักษร” ปีกัสโซวาดภาพตัวตนของเขาตามที่เขาเห็น บางครั้งไม่เป็นระเบียบ ถอยหลัง หรือกลับหัว ภาพวาดของเขาแสดงให้เห็นถึงพลังแห่งจินตนาการซึ่งอาจเชื่อมโยงกับการที่เขาไม่สามารถที่จะมองเห็นคำได้อย่างถูกต้อง
  9. การคิดนอกกรอบ – การแก้ปัญหา
    ผู้ที่เป็น dyslexia ใช้การแก้ปัญหาด้วยวิธีการนอกกรอบ การคิดนอกกรอบเป็นวิธีการที่ dyslexia ใช้ ซึ่งในบางครั้งเหมือนเป็นเรื่องเพ้อฝัน

ต้นฉบับ :
https://th.hellomagazine.com/education/dyslexia-children-are-not-stupid/
https://www.brainandlifecenter.com/braintraining-improve-dyslexia/
ที่มา : The Boston Globe

► 5 ขั้นตอนน่ารู้…ก่อนปลูกกัญชา

CANNHEALTH EXCLUSIVE : 5 ขั้นตอนน่ารู้…ก่อนปลูกกัญชา กับเทคนิคต่างๆในการปลูกกัญชา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเลือกสายพันธุ์ สถานที่ปลูกหรือแม้กระทั้งการเลือกปุ๋ยในการดูแล CANNHEALTH เคยนำเสนอเรื่อง “7 ปัจจัยสำคัญในการปลูกกัญชา” มาแล้ว วันนี้ขอนำเสนอเรื่อง “5 ขั้นตอนน่ารู้…ก่อนปลูกกัญชา” มาดูกันว่าจะมีเรื่องอะไรที่น่าสนใจกันบ้าง

เลือกสายพันธุ์ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและอุณหภูมิ
เลือกสายพันธุ์ที่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมและอุณหภูมิได้ หากปลูกกลางแจ้งก็ควรเลือกสายพันธุ์ที่ทนทานต่ออุณหภูมิที่สูงกว่าปลูกในโรงเรือน

เลือกสถานที่ที่ดีที่สุด
ควรพิจารณาว่าจะปลูกกัญชาลงดินหรือในตู้คอนเทนเนอร์ หรือแบบไฮโดรโปนิกส์ โดยคำนึงถึงปัจจัยสภาพแวดล้อมได้แก่ แสง ลม อุณหภูมิน้ำฝน แมลง หากปลูกกลางแจ้งควรเป็นสถานที่ที่มีระบบการรักษาความปลอดภัยที่รัดกุม

เลือกดินที่ระบายน้ำได้ดีและอุ้มน้ำได้ดีพอเหมาะ
ควรเข้าใจส่วนประกอบของดินเพื่อที่จะปรับเปลี่ยนการเลือกใช้ให้เข้ากับสายพันธุ์ที่เลือกปลูก ซึ่งเนื้อดินปลูกกัญชาควรร่วนซุย ระบายน้ำได้ดีไม่ทำให้เกิดน้ำขังอยู่ด้านบนของดิน อุ้มน้ำได้ดีพอเหมาะ คือทำให้ดินเปียกแต่ไม่เป็นโคลน

เลือกปุ๋ยที่มีคุณค่าทางสารอาหารสูง
ต้นกัญชาต้องการคุณค่าทางสารอาหารสูง ซึ่งก็คือธาตุอาหารหลักของพืชอย่างฟอสฟอรัส ไนโตรเจนและโพแทสเซียม ธาตุอาหารพืชเหล่านี้สามารถผสมในน้ำและรดใส่ต้นแต่ไม่ควรรดมากจนเกินไป

เรียนรู้ขั้นตอนการดูแลระหว่างการปลูก
การรดน้ำกัญชาต้องทำให้เหมาะสมโดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อม เช่นอากาศร้อนแห้ง อากาศร้อนชื้น อากาศเย็นชื้นและฝนตกในพื้นที่ ส่วนการจัดทรงและตัดแต่งต้นกัญชาก็ควรทำเป็นประจำเพื่อความสวยงามและทำให้ใบได้รับแสงอย่างทั่วถึง

ที่มา : CANNHEALTH
หมายเหตุ : เผยแพร่ครั้งแรกเป็นภาษาไทยเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 โดย Cannhealth
เขียน/แปล: สิริญา มิตรศรัทธา
เรียบเรียง : ณัฐวุฒิ จงจิตร

► ประโยชน์ของน้ำขิง

๏ ช่วยย่อยอาหาร แก้อาการท้องอืด
สารประกอบฟีโนลิกในขิงมีส่วนช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองในลำไส้ พร้อมทั้งยังมีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร นอกจากนี้ขิงยังมีฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้อย่างอ่อน ส่งผลให้อาการท้องอืด แน่นท้อง และอาการท้องเฟ้อบรรเทาลงได้

บรรเทาอาการคลื่นไส้
ฤทธิ์ร้อนของขิงเป็นยาแก้อาการคลื่นไส้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอาการคลื่นไส้ที่เกิดจากความผิดปกติของกระเพาะอาหารและลำไส้ ที่ได้รับสารเคมีหรืออาหารแสลงบางอย่างมา นอกจากนี้ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Support Care Cancer เมื่อปี 2012 ยังบอกด้วยว่า การดื่มน้ำขิงเป็นประจำทุกวันจะสามารถลดอาการคลื่นไส้ในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาด้วยเคมีบำบัดได้ด้วยนะคะ

ช่วยลดน้ำหนัก
ผลการศึกษาของนักวิจัยชาวญี่ปุ่นที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Pharmaceutical Society of Japan ในปี 2008 พบว่า ขิงมีส่วนช่วยเพิ่มการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกาย ทำให้ร่างกายสามารถเผาผลาญไขมันได้มากกว่าปกติ จึงมีส่วนช่วยลดน้ำหนักได้ นอกจากนี้น้ำขิงอุ่น ๆ ยังสามารถช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย ลดอาการท้องผูก รวมทั้งลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นสาเหตุของความเครียด อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ร่างกายบริโภคไขมันมากขึ้นจนทำให้น้ำหนักขึ้นได้อีกด้วย

๏ ฆ่าเชื้อโรคและแบคทีเรีย
จากการทดลองน้ำที่ได้จากการแช่ขิงพบว่า น้ำขิงสามารถยับยั้งการเติบโตของเชื้อแบคทีเรียและพยาธิชนิดต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งสารจิงเกอร์รอลในขิงยังมีอานุภาพมากพอจะลดโอกาสติดเชื้อต่าง ๆ ของร่างกายได้โดยเฉพาะหากเราดื่มน้ำขิงเป็นประจำทุกวัน สารจิงเกอร์รอลจะต่อสู้กับเชื้อไวรัสโรคหวัดและอาการไข้ได้อย่างเต็มที่ เราก็จะมีสุขภาพที่ดีห่างไกลจากโรคหวัดได้ง่าย ๆ

บำรุงรักษาสุขภาพช่องปาก
สารจิงเกอร์รอลของขิงยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพช่องปากด้วยนะคะ โดยมีส่วนช่วยกำจัดเชื้อโรคอันเป็นสาเหตุของโรคเหงือกอักเสบและคราบพลัคในช่องปากเราได้อย่างมีประสิทธิภาพเชียวล่ะ

๏ ช่วยลดอาการอักเสบ
ขิงอุดมไปด้วยสารต้านการอักเสบ และสารต้านอนุมูลอิสระก็ค่อนข้างสูงนอกจากนี้ในขิงยังมีสารจิงเกอร์รอล (Gingerol) ซึ่งมีฤทธิ์รุนแรงกว่าแอสไพริน และยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบภายในร่างกาย ดังนั้นหากดื่มน้ำขิงเป็นประจำ ก็จะช่วยป้องกันการอักเสบในร่างกายได้อีกทางหนึ่ง

๏ เป็นยาลดปวด
อย่างที่บอกว่าสารจิงเกอร์รอลมีฤทธิ์แรงกว่ายาแอสไพรินซะอีก ซึ่งก็สอดคล้องกับการศึกษาจาก University of Georgia ที่พบว่า การดื่มน้ำขิงเป็นประจำทุกวันมีส่วนช่วยลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเนื่องจากการออกกำลังกายได้ราว ๆ 25% เลย

๏ แก้ปวดประจำเดือน
คุณสมบัติข้อนี้ของขิงเป็นสิ่งที่สาว ๆ ทุกคนคู่ควรอย่างแรง โดยผลการศึกษาจาก University of Georgia พบว่า นอกจากขิงจะช่วยลดอาการปวดเมื่อยเนื้อตัวได้แล้ว น้ำขิงยังมีฤทธิ์บรรเทาอาการปวดประจำเดือนของสาว ๆ ได้ราว ๆ 47% เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียน และอาการท้องเสียที่สาว ๆ บางคนอาจจะเป็นระหว่างวันแดงเดือดได้ด้วย

ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง
การศึกษาใน British Journal of Nutrition ระบุว่า น้ำขิงมีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ เนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง อีกทั้งในน้ำขิงยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย และยังมีสารเคมีธรรมชาติที่ไปช่วยกระตุ้นเอนไซม์กลูตาไธโน-เอส-ทรานสเฟอรเรส สารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งที่จะชวยลดโอกาสเกิดเซลล์มะเร็งร้ายได้

ที่มา : คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

► นอนเยอะแล้วแต่ทำไมยังรู้สึกเหนื่อย

เพราะการนอนเป็นแค่ส่วนนึงของการพักเท่านั้น
หลายครั้งที่เรารู้สึกเหนื่อยถึงแม้จะนอนมาเต็มอิ่มแล้วก็ตาม เพราะจริงๆ แล้ว การนอนนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนนึงของการพักเท่านั้น การนอนหลับเป็นเพียงการพักทางกายภาพเท่านั้น จริงๆ แล้ว การพักผ่อนที่จะช่วยฟื้นฟูร่างกายของเรานั้นมีทั้งหมด 7 ด้านด้วยกัน

  1. พักกาย
    ไม่ว่าจะเป็นการนอนหลับที่เราต้องนอนให้พอในแต่ละวัน หรือการงีบ นอกจากการนอนเฉยๆ แล้ว การสร้างความยืดหยุ่นให้ร่างกายอย่างการออกกำลังกาย โยคะ นวด ก็ถือว่าเป็นการพักกายด้วยเหมือนกัน
  2. พักจิตใจ
    บ่อยครั้งที่เรารู้สึกหงุดหงิดง่ายและขี้หลงขี้ลืม นั่นเป็นสัญญาณว่าเราต้องพักจิตใจบ้างแล้ว การจดจ่อกับงานทั้งวันแม้แต่ตอนกำลังจะนอน ความเครียดระหว่างวันที่เราต้องเผชิญนั้นส่งผลกระทบต่อจิตใจและร่างกายของเรา ในบางครั้งก็มาในรูปแบบของการนอนไม่หลับ คุณหมอบอกเราว่า คุณไม่ต้องถึงขนาดลาพักร้อนเพื่อที่จะพักจิตใจก็ได้ เพียงแค่จัดตารางให้ตัวเองได้มีเวลาพักระหว่างวัน ไปยืดเส้นยืดสาย ละสายตาจากจอ หรือพักงีบซักหน่อย และช่วงก่อนนอนถ้ายังรู้สึกมีเรื่องกวนใจ ก็ให้ลองจดสิ่งเหล่านั้นลงกระดาษไว้
  3. พักประสาทสัมผัส
    แสงจ้า แสงจากคอมพิวเตอร์ หูที่ต้องคอยฟังเสียงรบกวน ประสาทสัมผัสต่างๆ ของเราถูกใช้งานงานตลอดทั้งวัน ให้เวลาประสาทสัมผัสของเราได้พักบ้าง รู้สึกว่าใช้ส่วนไหนหนักไปก็พักสิ่งนั้น อย่างถ้าใช้ตาจ้องจอเยอะ ก็ให้ละสายตาจากจอบ้าง ลดการใช้เวลาอยู่กับพวกอุกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะช่วงก่อนนอน
  4. พักการใช้ความคิด
    เราที่ใช้สมองเค้นความคิดออกมาตลอดทั้งวันต้องเกิดความเหนื่อยล้าแน่นอน ลองพาตัวเองไปเจออะไรที่สวยงามอย่างการสัมผัสธรรมชาติบ้าง แต่ในช่วงนี้การไปข้างนอกออกจะลำบากไปซักหน่อย อาจลองเปลี่ยนเป็นการหันไปมองต้นไม้ที่เราปลูกไว้ที่บ้าน ก็ช่วยให้เราได้รีเฟรชความคิด พร้อมลุยงานต่อ
  5. พักอารมณ์
    ไม่ไหวก็บอกไม่ไหว เหนื่อยก็บอกเหนื่อย การซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองเป็นการปลดปล่อยอารมณ์ของเราให้ได้พักผ่อนบ้าง อาจลองคุยกับใครซักคนให้สบายใจ หรือจดไดอารี่ดูก็ได้เหมือนกัน
  6. พักจากผู้คน
    บางครั้งการที่ต้องปฎิสัมพันธ์กับผู้อื่นเป็นสิ่งที่ค่อนข้างใช้พลังเยอะซึ่งทำให้เราหมดแรง การที่เราปลีกตัวออกมาแล้วใช้เวลากับตัวเองก็ถือเป็นการพักผ่อนที่ดี และถ้าเรารู้สึกว่าเรากำลังอยู่ในสังคมที่มีแต่พลังลบอยู่รอบๆ ตัว ให้รีบพาตัวเองออกมาก่อนที่จะถูกพลังลบนั้นกลืนกิน
  7. พักทางใจ
    การทำสมาธิ ช่วยให้เราได้อยู่กับตัวเอง ใช้เวลาตรงนี้ทบทวนเป้าหมาย ความสุข ความต้องการของตัวเอง ทำให้มีสติมากขึ้น เป็นการพักทางใจจากข้างในที่จะเชื่อมต่อกายและจิตใจเข้าด้วยกัน

ที่มา :
https://ideas.ted.com/the-7-types-of-rest-that-every-person-needs
Facebook : Torpenguin – ผู้ชายขายบริการ

► ฟ้าทะลายโจร

ฟ้าทะลายโจร Andrographis Paniculata (Burm.f.) Nees. เป็นพืชล้มลุกฤดูเดียว ที่อยู่ในวงศ์ Acanthaceae (วงศ์เหงือกปลาหมอ) มีถิ่นกำเนิดในอินเดียและศรีลังกา ลักษณะเป็นไม้พุ่มเตี้ย มีความสูงประมาณ 30 – 70 เซนติเมตร
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

  • สภาพภูมิอากาศ
    อุณหภูมิ: ร้อนชื้น อุณหภูมิประมาณ 25-30 °C
    ความชื้นสัมพัทธ์: เฉลี่ย 60-80%
    แสง: ร่มไร ถ้าจำเป็นต้องปลูกกลางแจ้ง ต้องให้น้ำเพิ่มเป็นพิเศษ
    น้ำ: ต้องการน้ำเพียงพอตลอดฤดูปลูก ถ้าขาดน้ำ ผลผลิตและปริมาณสารสำคัญจะลดลง
    ลม: แหล่งปลูกต้องไม่มีลมพัดแรง มีการทำแนวบังลมเพื่อป้องกันต้นหักล้ม
  • สภาพพื้นที่
    ความสูง: จากระดับน้ำทะเลถึง 3,200 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
  • สภาพดิน
    ประเภทดิน ดินร่วนซุย หลีกเลี่ยงดินเหนียว หรือดินทรายจัด
    อินทรียวัตถุ มีอินทรียวัตถุไม่น้อยกว่า 3.5%
    ความเป็นกรดด่างของดิน(pH) 5.5-8
    การระบายน้ำ ระบายน้ำดี ไม่ท่วมขัง
  • สายพันธุ์
    พันธุ์จาก อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม น้ำหนักสดต่อต้นสูง
    พันธุ์จากระยอง
    พันธุ์ศรีสะเกษ
  • ผลผลิตเฉลี่ย
    ผลผลิตสดเฉลี่ย 2,000-3,000 กิโลกรัมต่อไร่
    ผลผลิตสด : ผลผลิตแห้ง 4 : 1

การเตรียมดิน

  • ถ้ามีวัชพืชมาก ให้ไถพรวน 2 ครั้ง ตากดิน 2 สัปดาห์ แล้วจึงใส่ปุ๋ยอินทรีย์รองพื้น ก่อนทำแปลง
  • ในกรณีที่ดินดี มีวัชพืชน้อย อาจแค่ปรับดิน โดยไม่ต้องใส่ปุ๋ยอินทรีย์

การเตรียมพันธุ์

  • ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด
  • เลือกใช้เมล็ดจากฝักแก่จัด สีน้ำตาลแดง เมล็ดสมบูรณ์ ไม่มีโรค-แมลง
  • อาจนำเมล็ดมาแช่น้ำหรือไม่แช่น้ำก็ได้ ถ้าแช่น้ำ ให้แช่ 2 ชั่วโมง แล้วห่อกระดาษทิชชู ทิ้งไว้ 2 วัน

เตรียมแปลงปลูก

  • ยกแปลงสูง 15 – 20 ซม. กว้าง 1 เมตร แปลงยาว 3 – 5 เมตร ตามสภาพพื้นที่
  • ใส่ปุ๋ยอินทรีย์และถ่านไบโอชาร์ รดน้ำ ปล่อยทิ้งไว้อย่างน้อย 30 – 45 ก่อนปลูก

การปลูก
ทำได้ 4 วิธี
1) หว่านลงแปลงโดยตรง โดยอาจนำเมล็ดมาผสมทรายหยาบ อัตรา 1:1-2 เพื่อสะดวกในการหว่าน
2) โรยเมล็ดเป็นแถว ขวางแปลง ระยะแถวห่าง 50 ซม. กลบดินบางๆ
3) เพาะกล้าในถาดเพาะ แล้วจึงย้ายลงแปลงปลูก
4) เพาะในแปลง โดยเตรียมแปลงเพาะกว้าง 1 ม. สูง 15 – 20 ซม. ใส่ปุ๋ยอินทรีย์รองพื้น 0.5 – 1 กก.ต่อพื้นที่ 1 ตรม.

ในกรณีปลูกด้วยการย้ายกล้า

  • ใช้ต้นกล้าอายุ 30 วัน
  • ปลูกฤดูแล้ง ระยะ 30 x 40 ซม. จะปลูกได้ 8 ต้น/ตรม.
  • ปลูกฤดูฝน ระยะ 30 x 60 ซม. จะปลูกได้ 6 ต้น/ตรม.

การให้น้ำ
ให้น้ำอย่างพอเพียงและสม่ำเสมอ ตั้งแต่เริ่มปลูกถึงเก็บเกี่ยว
ถ้าแดดจัดให้น้ำวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
ถ้าแดดไม่จัด ให้น้ำวันละครั้ง ช่วงเย็น
เมื่ออายุได้ 2 เดือนแล้ว สามารถลดการให้น้ำ โดยดูตามความเหมาะสม

การให้ปุ๋ย

  • ช่วงเตรียมดินย้ายกล้า ใส่ปุ๋ยอินทรีย์หว่านบางๆ
  • หลังจากนั้น 15 วัน ใส่ปุ๋ยอินทรีย์รอบสอง 125 กรัมต่อต้น หรือ 300 – 400 กรัมต่อ 1 ตรม. โดยหว่านกระจายให้ทั่วแปลง

การกำจัดวัชพืช
ช่วงแรก จะต้องกำจัดวัชพืชประมาณทุกครึ่งเดือน เมื่อต้นฟ้าทะลายโจรโต ทรงพุ่มกว้างคลุมแปลงแล้ว จะมีวัชพืชน้อย ไม่จำเป็นต้องกำจัดก็ได้

ศัตรูที่สำคัญและการป้องกันกำจัด
อาจพบหอยทากบ้างในช่วงระยะต้นกล้า ให้กำจัดด้วยมือ
หลังจากนั้น ไม่พบการระบาดของโรคระบาดที่ทำความเสียหายรุนแรง
บางครั้งพบโรคโคนเน่า-รากเน่าจากเชื้อรา ให้ถอนทำลายทันที

การเก็บเกี่ยว
เพื่อให้ได้สารสำคัญสูงสุด ให้เก็บเกี่ยว

  • เก็บเกี่ยวระยะเริ่มออกดอก-ดอกบาน 30% และไม่ควรเกินระยะดังกล่าว เพราะสารสำคัญจะลดลง
  • วิธีเก็บตัดเหนือดินห่างโคน 4 ข้อ (ประมาณ 5 – 10 ซม.)
  • ใบมีปริมาณสารสำคัญมากกว่ากิ่งก้าน

การปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว

  • คัดแยกสิ่งปนปลอม เช่น วัชพืชที่ปะปนมา
  • ล้างน้ำสะอาด
  • ตัดเป็นท่อนยาว 2-3 ซม. ผึ่งให้แห้ง
  • ทำแห้งโดยตากแดดบนลานตากยกพื้นมีวัสดุรองรับที่สะอาด หรือใช้เครื่องอบแห้งแบบลมร้อน ที่อุณหภูมิ 50 °C ใน 8 ชั่วโมงแรก และลดอุณหภูมิเหลือ 40 – 45 °C อบต่อจนแห้งสนิท

เอกสารอ้างอิง
– https://th.wikipedia.org/wiki/ฟ้าทะลายโจร_(พืช)
– http://k-tank.doae.go.th/uploads/16ฟ้าทะลายโจร.pdf

► 9 ข้อดีของการดื่มไวน์

ไวน์ (Wine) เครื่องดื่มยอดนิยมทั่วโลก ที่มีรสชาติแตกต่างกันไปตามแหล่งผลิต ระยะเวลาการบ่ม รวมไปถึงชนิดของไวน์ ไม่ว่าจะเป็น ไวน์แดง (Red Wine) ไวน์ขาว (White Wine) ไวน์โรเซ่ (Rose Wine) เป็นต้น

หลายคนสงสัยว่า ไวน์ จะมีประโยชน์ได้อย่างไร ดื่มไวน์เพื่อสุขภาพได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นั้นเพราะวัตถุดิบหลักอย่างองุ่น เป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณมากมาย ที่ช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง และลดภาวะเสี่ยงจากโรคร้ายได้อีกด้วย เฮเฟเล่ขอนำเสนอ ข้อดีและประโยชน์เพื่อสุขภาพของการดื่มไวน์

1.ชะลอความแก่ Anti Aging
ในองุ่น ก็เนื่องด้วยสารต้านอนุมูลอิสระในไวน์แดงช่วยป้องกันร่างกายจากความเสียหายจากอนุมูลอิสระและจะชะลอกระบวนการชรา ไวน์แดงมีความเข้มข้นของสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่าโพลีมากกว่า เมื่อเทียบกับน้ำองุ่น

นักวิจัยสเปนแนะว่าการดื่มไวน์แดงอาจช่วยชะลอความแก่ หลังพบสารเมลาโทนินในผิวองุ่น รวมถึงอาหารอีกหลายชนิด เช่น หอมหัวใหญ่ ข้าว และเชอรี่ สามารถปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายตามอายุขัยที่เพิ่มขึ้น ซึ่งควรจะเริ่มกินตั้งแต่อายุย่างเข้า 30 ปี เพราะไวน์แดง ชะลอความแก่ ได้จริง แล้วยังช่วยปรับปรุงสุขภาพหัวใจ แต่คุณก็ควรที่จะดื่มในปริมาณที่เหมาะสมเช่นกันค่ะ

2.ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
สารเรสเวอราทรอล (Resveratrol) ในไวน์ช่วยให้หัวใจแข็งแรง สารดังกล่าวทำหน้าที่เปลี่ยนระดับไขมันคอเลสเตอรอลในเลือด เลือดไม่เกาะกันเป็นก้อน ลดปัญหาการอุดสันในเส้นเลือด ทำให้ลดความเสี่ยงที่เกิดโรคหัวใจได้ 30-40 %

การดื่มไวน์แดงในปริมาณที่พอเหมาะ อย่างสม่ำเสมอทุกวันเหมือนที่ชาวฝรั่งเศสปฏิบัติกันเป็นปกตินิสัย ทำให้ชาวฝรั่งเศสมีอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และโรคหัวใจล้มเหลวลดลงถึง 50 %

ส่วนไวน์ขาวนอกจากจะเป็นเครื่องดื่มที่สร้างความสดชื่นให้กับร่างกายแล้ว ยังทำให้อาหารทะเลมีรสชาติถูกปากอร่อยลิ้น ที่สำคัญมีสรรพคุณช่วยย่อยอาหารและ สามารถกำจัดพิษจากอาหารทะเลที่เป็นอันตรายต่อระบบย่อยอาหารได้อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง

3.ลดและป้องกันมะเร็ง
สารเรสเวอราทรอล (Resveratrol) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งซึ่งพบได้ในองุ่น ราสเบอร์รี ถั่วลิสง และพืชอื่นๆ มีหลักฐานว่า เรสเวราทรอลนั้นลดอนุมูลอิสระและลดอัตราการเกิดมะเร็งในสัตว์ทดลอง รวมทั้งลดการเจริญเติบโตของมะเร็งในถาดเพาะเชื้อได้ นอกจากนั้นยังลดสารเอ็นเอฟ แคปปา บี (NF kappa B) ซึ่งเป็นโปรตีนที่สร้างโดยระบบภูมิคุ้มกันที่ถูกกระตุ้นอีกด้วย ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ดื่มไวน์ต้านมะเร็งได้

4.ลดปริมาณคอเลสเตอรอล
เป็นที่ทราบกันดีว่าในไวน์แดง มีแทนนินหรือความฝาด ซึ่งนอกจากจะป้องกันการเกิดโรคหัวใจแล้ว ยังช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด หากมีคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดมากๆ อาจทำให้เกิดการไหลเวียนของเลือดผิดปกติได้

5.ช่วยในการย่อย
อาหารประเภททอด อาหารแปรรูป จะมีสาร Malonaldehydes ซึ่งสารเหล่านี้ส่งผลร้ายต่อระบบทางเดินอาหารให้แก่ร่างกาย มีการศึกษาพบว่าการดื่มไวน์แดงกับอาหารดังกล่าวช่วยลบล้างสารเหล่านี้ได้ถึงร้อยละ 60-70 ดังนั้นความสามารถในการช่วยการทำลายสารเหล่านี้ก็เป็นประโยชน์ในการย่อยอาหาร

6.ช่วยในลดและคลายความเครียด
ไวน์ช่วยเรื่องความเครียดได้ ไวน์เป็นยากล่อมประสาทชนิดหนึ่ง ช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย จึงช่วยลดความเครียดหรือคลายกังวล ทำให้นอนหลับพักผ่อนได้ยาวนานขึ้น

7.ป้องกันโรคความจำเสื่อม
นักวิจัยพบว่าไวน์แดงช่วยลดความจำเสื่อมได้ โดยสาร สารเรสเวอราทรอล (Resveratrol) ในไวน์แดง มีผลในการป้องกันการเสื่อมของสมอง

ทีมงานวิจัยได้ศึกษาคอไวน์ 7,983 คน ซึ่งดื่มไวน์เป็นประจำ วันละ 1 – 3 แก้ว ระหว่างปี1990 – 1999 พบว่าบุคคลดังกล่าวไม่เป็นโรคอัลไซเมอร์ และ โรคพาร์กินสันแต่อย่างใด

8.สุขภาพเหงือกและฟัน
ไวน์มีคุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรียในช่องปาก และนอกจากนี้งานวิจัย แสดงให้เห็นว่า สารโพลีฟีน เป็นสารธรรมชาติที่พบในเมล็ดองุ่นและไวน์แดงจะมีคุณสมบัติช่วยในการต้านการอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียของเหงือก หรือเหงือกอักเสบ

9.ไวน์ช่วยป้องกันโรคหวัด
รู้หรือไม่ส่วนประกอบที่มีอยู่ในไวน์ช่วยป้องกันหวัดได้ ศูนย์โรคหวัดแห่งมหาวิทยาลัย คาร์ดีฟ เคยมีรายงานว่า คุณสมบัติของสารต้านอนุมูลอิสระ หรือสารแอนตี้ออกซิแดนท์อาจทำให้ไวน์แดง สามารถป้องกันหวัดได้ และยังมีผลการวิจัยอาสาสมัคร 4,000 คน เป็นเวลา 1 ปีพบว่า ผู้ที่ดื่มไวน์แดงมากกว่าวันละ 2 แก้ว เป็นหวัดน้อยกว่าคนที่ไม่ได้ดื่มไวน์เลยถึงร้อยละ 44

ดื่มไวน์อย่างไรให้ดีต่อสุขภาพ ?
การดื่มไวน์เพื่อสุขภาพ หากดื่มในปริมาณที่เหมาะสมก็จะได้รับประโยชน์ แต่การดื่มในปริมาณที่มากเกินไปก็อาจส่งผลกระทบในทางลบได้ โดยปริมาณการดื่มไวน์อย่างเหมาะสมที่แนะนำ คือ ผู้ชายควรดื่มไม่เกิน 2 แก้ว /วัน หรือประมาณ 250 – 300 มิลลิลิตร และผู้หญิงควรดื่มไม่เกิน 1 แก้ว /วัน หรือประมาณ 125 – 150 มิลลิลิตร

ที่มา https://www.hafelethailand.com

► ดื่มน้ำอย่างถูกวิธี

ร่างกายมีน้ำเป็นส่วนประกอบประมาณ 70% ของน้ำหนักตัว ซึ่งเป็นองค์ประกอบของเลือด อวัยวะ กล้ามเนื้อ ผิวหนัง และสมอง ในหนึ่งวัน เราจึงควรดื่มน้ำให้เพียงพอประมาณ 2 ลิตร หรือ 6-8 แก้ว

ดื่มน้ำให้เพียงพอ

  • ทำให้ระบบต่างๆ ของร่างกายและสมองทำงานได้ดี
  • ทำให้สามารถขนส่งสารอาหารไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายได้
  • ทำให้สุขภาพผิวดี
  • ทำให้การเคลื่อนไหวดี เนื่องจากช่วยหล่อลื่นข้อต่อและช่วยให้การทำงานของกล้ามเนื้อมีประสิทธิภาพ
  • ทำให้สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้ดี ป้องกันการท้องผูก

ควรดื่มเมื่อไหร่

  • หลังจากตื่นนอน กระตุ้นการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายและระบบการขับของเสีย
  • เมื่อหิวน้ำ ถ้ารู้สึกหิวน้ำแปลว่าร่างกายเริ่มขาดน้ำ จึงควรดื่มน้ำสม่ำเสมอระหว่างวัน
  • ก่อนนอน ให้ระบบการทำงานของร่างกายสมดุล และมีประสิทธิภาพขณะหลับ
  • เมื่ออากาศร้อน ทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือเสียเหงื่อมากจากการทำงานหรือการออกกำลังกาย

ดื่มอย่างไร

  • ดื่มน้ำเปล่าที่สะอาด
  • ดื่มน้ำโดยการจิบทีละน้อยตลอดทั้งวัน
  • ระวังการดื่มครั้งเดียวในปริมาณมาก เพราะจะทำให้ไตทำงานหนักขึ้น เลือดเจือจาง หรือปริมาณ
    น้ำในเซลล์มากจนเกิดอาการบวมน้ำ อาจเกิดพิษต่อเซลล์
  • หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอย่างรวดเร็ว เพราะจะมีผลกระทบต่อการทำงานและการสูบฉีดของหัวใจ

► อาชีพวัยเกษียณ มีรายได้ช่วงบั้นปลายและมีกิจกรรมทำ

แม้จะเข้าสู่วัยเกษียณแล้ว แต่หลายคนก็ยังรู้สึกว่าไม่อยากที่จะอยู่เฉยๆ ยังมีไฟมีแรงที่อยากทำนู่นทำนี่ที่ตัวเองอยากทำ แก้เหงาและยังมีรายได้ด้วย

ปลูกต้นไม้ ทำเกษตร อาจจะปลูกต้นไม้เล็กๆ เช่น แคคตัส หว่าน ไม้ประดับ หรืออาจจะเป็นผักสลัดก็ได้ เพราะต้นไม้ขนาดเล็กดูแลง่ายไม่้ต้องออกแรงมาก

นักเขียน หลายคนที่หยุดงานแล้วแต่สมองยังคงโลดแล่น จินตนาการไม่หยุด สามาราถถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นตัวหนังสือ ทั้งถ่ายทอดจินตนาการ หรือบางคนก็ถ่ายทอดประสบการณ์การทำงาน เดี๋ยวนี้การเขียนและการเผยแพร่ผลงานสามารถทำได้ง่ายในโลกออนไลน์ เช่น blog เขียนรีวิวเรื่องต่างๆ ที่ตนเองถนัด ไม่ต้องลงทุนตีพิมพ์เป็นเล่ม

โฮมสเตย์ บางท่านที่บ้านมีพื้นที่มาก มีห้องพักเหลือไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรก็ลองเอามาปล่อยเช่า นอกจากจะมีรายได้แล้วยังมีเพื่อนไว้พูดคุยแก้เหงาด้วย

เป็นที่ปรึกษา ให้กับหน่วยงาน องค์กร บริษัท โดยใช้ความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่มีตลอดการทำงานที่ผ่านมา พบว่าหลายๆ หน่วยงานมักจะเชิญคนวัยเกษียณมาเป็นที่ปรึกษา วิทยากร เพื่อช่วยแนะนำและตัดสินใจในเรื่องต่างๆ

เป็นตัวแทนประกัน เป็นงานหลังเกษียณที่เหมาะเพราะท่านจะมีเวลาใส่ใจดูแล และมีประสบการณ์ที่จะแนะนำได้

ช่างซ่อม หลายๆ ท่านที่มีความสามารถในงานช่าง งานซ่อม ได้ยกของได้ออกแรงบ้างก็จะช่วยให้ร่างการสดชื่น กระปรี้กระเปร่า

ขายภาพถ่ายออนไลน์ เป็นอาชีพที่อยู่ในกระแส เป็นที่นิยมสำหรับคนที่ชอบถ่ายรูป ปัจจุบันมีหลายเว็บไซต์

ขายของออนไลน์ ในยุคที่อินเตอร์เนทเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้ว การซื้อขายของออนไลน์เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นทุกวัน ท่าก็ลองมองหาสินค้าที่ท่านสนใจและคิดว่ามีคนสนใจ และลองเริ่มต้นด้วยเงินลงทุนไม่มาก

ทำอาหารหรือขนมขาย ท่านที่ชอบการเข้าครัว ทำอาหาร ทำขนมอยู่แล้ว ชอบทำให้ลูกๆ หลานๆ หรือคนข้างบ้านอยู่แล้ว ก็ลองทำเป็นอาชีพเลยก็น่าจะดีไม่น้อย

ทำงานฝีมือ งานศิลปะ หลายๆ ท่านที่ชอบทำงานฝีมือแต่ช่วงที่ทำงานอาจจะไม่ึค่อยมีเวลาทำ ก็ลองทำในช่วงนี้ที่มีเวลาเต็มที่แล้ว ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบและขายได้อีกด้วย

รับจ้างเลี้ยงเด็ก ผู้สูงอายุหลายคนมีประสบการณ์เลี้ยงลูกเลี้นงหลานมาก่อน จึงเข้าใจเด็กๆ เป็นอย่างดี การได้อยู่กับเด็กทำให้เราอายุเยาว์ตามเด็กไปด้วย

ลงทุน สำหรับคนที่มีเงินเก็บอยู่และอยากให้เงินงอกเงย แต่ก็ไม่สะดวกที่จะทำอะไรเอง ก็อาจจะเลือกการลงทุนผ่านตัวแทน กองทุน หรือลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาล สลากออมทรัพย์ เงินฝากประจำหรือตราสารหนี้ ก็ได้

► ทางเลือกของคนแพ้นมวัว

♥ อาการแพ้นม แบบเฉียบพลัน มักเกิดขึ้นหลังจากดื่มนมภายใน 15 นาที – 2 ชั่วโมง โดยมีอาการที่แตกต่างกันไป เช่น มีผื่นคัน ขึ้นตามผิวหนัง ลมพิษ ปากบวม ลิ้นบวม หายใจลำบาก ปวดท้อง หรืออาเจียน

♥ ถ้ารู้ว่าตัวเองแพ้ ให้งดดื่มนมวัวและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมวัวทุกชนิดอย่างน้อย 3-6 เดือนถึง 1 ปี แล้วลองกลับมาดื่มอีกครั้ง

♥ นมมีโปรตีนและแคลเซียมสูง หากต้องการรับประทานอาหารอื่นเพื่อทดแทนการดื่มนมควรเลือก อาหารที่มีโปรตีน เช่น ไข่ เนื้อสัตว์ หรือถั่วเมล็ดแห้ง หรืออาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น ปลาตัวเล็ก เต้าหู้ก้อน บรอกโคลี ผักกวางตุ้ง เป็นต้น

นมวัวเป็นแหล่งของโปรตีนและแคลเซียม มีประโยชน์กับคนทุกเพศ ทุกวัย แต่ก็พบว่าผู้บริโภคนมวัวบางกลุ่มจะมีอาการแพ้ ซึ่งสาเหตุหลักมักเป็นการแพ้โปรตีนจากนมวัว (cow’s milk allergy) ในปัจจุบันโรคแพ้นมวัวพบได้บ่อยและมีอาการแสดงหลากหลายรูปแบบ ซึ่งปฏิกิริยาในการแพ้นมวัวอาจเกิดจากกระบวนการทำงานของแอนติบอดี้ IgE mediated หรือ non IgE mediated หรืออาจเกิดจากทั้ง 2 อย่างร่วมกันได้ โดยสาเหตุอาจเกิดจากการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันตั้งแต่ในช่วงตั้งครรภ์ นอกจากนี้ยังพบโรคแพ้นมวัวได้บ่อยในช่วงวัยทารกอันอาจเกิดจากระบบการย่อยอาหารของทารกที่ยังไม่พัฒนาอย่างเต็มที่

ประวัติที่น่าสงสัยว่าแพ้นมวัว

  • มีโรคภูมิแพ้ของบุคคลในครอบครัว
  • มีอาการที่แสดงหลังจากเด็กดื่มนมวัว เช่น มีผื่นลมพิษ ปากบวมตาบวม ถ่ายมูกเลือด หายใจติดขัดดังครืดคราด หรือผื่นแพ้ผิวหนังที่มีอาการปานกลางถึงรุนแรง
  • มีประวัติว่าแม่ดื่มนมวัวในช่วงตั้งครรภ์มากกว่าปกติ ซึ่งโปรตีนในนมวัวอาจกระตุ้นให้ทารกเกิดการแพ้ได้
  • กรณีที่เด็กกินนมแม่อย่างเดียว ในขณะที่แม่ดื่มนมวัวมากกว่าปกติในช่วงให้นมบุตร
  • เด็กมีน้ำหนักน้อยกว่าปกติ หรือมีประวัติเปลี่ยนนมมาหลายยี่ห้อ แต่ยังมีอาการดังที่กล่าวไปข้างต้น

อาการแพ้นม
หากเป็นอาการเฉียบพลันที่เกิดจาก IgE mediated อาการจะเกิดขึ้นหลังจากดื่มนมวัวภายใน 15 นาที – 2 ชั่วโมง โดยจะมีอาการแพ้ซึ่งแต่ละคนจะมีอาการที่แตกต่างกันไป เช่น มีผื่นคันขึ้นตามผิวหนัง, ลมพิษ, ปากบวม, ลิ้นบวม, หายใจลำบาก, ปวดท้อง หรืออาเจียน เป็นต้น

ทำอย่างไรถ้ารู้ว่าแพ้นมวัว
ถ้ารู้ว่าตัวเองมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง แนะนำให้มาพบแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยและให้การรักษาที่ถูกต้อง และการปฏิบัติตัวที่ดีที่สุด คือ การงดดื่มนมวัวและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมวัวทุกชนิดอย่างน้อย 3-6 เดือน ถึง 1 ปี แล้วลองกลับมาทดลองดื่มใหม่ในปริมาณน้อย ๆ หากไม่ใช่อาการแพ้รุนแรง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเห็นของแพทย์

การป้องกันการแพ้นมวัว
ในเด็กเล็ก การดื่มนมแม่จะช่วยป้องกันการเกิดการแพ้อาหารได้เพราะเป็นการลดการสัมผัสโปรตีนแปลกปลอมจากนมผสม นอกจากนี้นมแม่ยังช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้อีกด้วย โดยไม่ควรงดนมวัวในกรณีที่ไม่มีอาการแพ้นมวัว เนื่องจากอาจทำให้มีความเสี่ยงต่อการขาดสารอาหารในเด็กได้โดยเฉพาะแคลเซียม
(ปริมาณแคลเซียมที่ต้องการตามอายุ ได้แก่ ทารกอายุ 0-5 เดือน ได้รับเพียงพอจากนมแม่เพียงอย่างเดียว, ทารกอายุ 6-11 เดือน 270 มิลลิกรัมต่อวัน, เด็กอายุ 1-3 ปี 500 270 มิลลิกรัมต่อวัน)

ทางเลือกอื่น ๆ สำหรับเด็กโตหรือผู้ใหญ่ที่แพ้นมวัว
ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์นมที่ได้จากพืชหลากหลายชนิด และสามารถหาซื้อได้ง่ายตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อต่าง ๆ เช่น

  • นมจากถั่วเหลือง (Soy milk) สามารถใช้เป็นทางเลือกหากแพ้นมวัว แต่ไม่แพ้ถั่วเหลือง โดยให้เลือกนมถั่วเหลืองที่มีการเสริมแคลเซียม เนื่องจากนมถั่วเหลืองจากธรรมชาติจะมีแคลเซียมต่ำ ข้อดีคือ ราคาไม่แพง หาซื้อได้ง่า
  • นมจากอัลมอนด์ (Almond milk) เป็นนมทางเลือกของกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการจำกัดปริมาณแคลอรีในแต่ละวันเพราะนมจากอัลมอนด์ ให้พลังงานที่ต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับนมวัวหรือนมถั่วเหลืองในปริมาณที่เท่ากัน อีกทั้งยังอุดมไปด้วยไขมันที่ดี และวิตามินอี แต่มีปริมาณโปรตีน และแคลเซียมน้อย ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องระวัง โดยเฉพาะการให้นมชนิดนี้กับเด็กอาจได้คุณค่าทางอาหารน้อย ดังนั้นควรอ่านฉลากโภชนาการก่อน และเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีการเสริมแคลเซียมด้วย
  • นมข้าวโพด (Corn milk) และนมจากข้าว (Rice milk) นมข้าวโพดและนมจากข้าวจะมีปริมาณโปรตีนไม่มากนักเมื่อเทียบกับนมวัว และเหมาะกับผู้บริโภคที่มีประวัติการแพ้ถั่ว หรืออัลมอนด์ อย่างไรก็ตามเพื่อให้การกินนมที่ไม่ใช่นมวัวนั้นมีคุณค่าทางสารอาหารมากขึ้น ผู้ผลิตบางรายก็มีการนำกระบวนการแปรรูปวัตถุดิบโดยใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณสารอาหารในนมข้าวโพดและนมจากข้าวให้มีมากขึ้น เช่น การเสริมแคลเซียม เป็นต้น

คุณประโยชน์ของนมจากพืชแต่ละชนิดจะมีความแตกต่างกันตามชนิดของพืช คุณภาพของวัตถุดิบ และกรรมวิธีการผลิต บางผลิตภัณฑ์ใช้วัตถุดิบในระยะที่มีสารอาหารสูง เช่น ใช้ข้าวในระยะงอก หรือการใช้เทคโนโลยีการแปรรูปวัตถุดิบให้คงปริมาณสารอาหารไว้ให้ได้มากที่สุด ดังนั้นก่อนการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ สิ่งสำคัญที่ต้องใส่ใจ คือ การอ่านฉลากข้อมูลทางโภชนาการ (Nutrition information) และส่วนประกอบ (Ingredients) อย่างละเอียดเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ และได้รับสารอาหารที่เพียงพอในแต่ละช่วงวัย อีกทั้งข้อควรระวังในการบริโภคนมจากพืช บางผลิตภัณฑ์มักมีปริมาณน้ำตาลสูง ควรเลือกสูตรหวานน้อยหรือไม่หวานเลย และควรให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารให้หลากหลาย และครบ 5 หมู่ เพื่อให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน

ที่มา https://www.samitivejhospitals.com
พญ. ธนิศา ขวัญบุญบำเพ็ญ / อนุสาขากุมารเวชศาสตร์โภชนาการ

► 5 ท่า ออกกำลังกาย ลดพุง ทำหน้าท้อง ให้แบนราบ

1.ท่า Mountain climber ท่านี้คนที่เคยปีนเขาอยู่แล้วคงจะคุ้นเคยดี เพียงแต่เปลี่ยนการปีนเขาแนวตั้งมาเป็นแนวราบแทน ซึ่งการบริหารท่านี้ช่วยบริหาร หน้าท้องส่วนล่างโดยเฉพาะ และช่วยตรงบริเวณต้นขาด้วย สำหรับการฝึกนั้นให้คุณทำทั้งหมด 3 เซต โดยเริ่มต้นทำท่าเหมือนจะวิดพื้น เกร็งหน้าท้องแล้วเอาเข่าขวาดึงเข้ามากลางตัว ขณะที่ตัวต้องตรงตลอด สลับด้านซ้ายเข้ามาเหมือนที่ทำด้านขวา สลับกันไปมา ขณะที่คุณดึงขาเข้ามาให้พยายามเหวี่ยงขานั้นไปฝั่งตรงข้าม จะรู้สึกต้านๆ หน่อย และทำการบิดตัวที่ท้องด้านข้าง 10 -15 ครั้งต่อเซต

2.ท่า Hip Lift ท่านี้เหมาะสำหรับการบริหารหน้าท้อง เพื่อลดพุงตรงบริเวณหน้าท้องด้านล่าง ต้นขา และบริเวณสะโพกพร้อมกัน สำหรับการฝึกนั้น เริ่มด้วยการนอนหงาย เอามือทั้งสองข้างวางชิดลำตัว ขาทั้งทั้งข้างชิดกัน จากนั้นให้ยกขาทั้งสองข้างตั้งขึ้นด้าน แล้วยกสะโพกให้ลอยขึ้นจากพื้น ค้างไว้เป็นเวลา 3 วินาที แล้วคุณค่อยวางสะโพกลง ทำ 10 ครั้ง ทั้งหมด 3 เซต

3.ท่า V Upsท่านี้มีคล้ายกับท่าเรือในการเล่นโยคะ แตกต่างกันที่ ท่านี้ให้คุณทำขึ้นลง ไม่ต้องค้างท่าไว้นานเหมือนโยคะ ท่านี้จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องส่วนบน ส่วนกลาง และส่วนล่าง ไปพร้อมๆ ขั้นตอนการฝึก เริ่มจากนอนหงายราบกับพื้น มือทั้งสองวางที่เหนือศรีษะ ให้ต้นแขนแนบที่หู ขาทั้งสองข้างเหยียดตรง แล้วค่อยๆ ยกตัวและขาขึ้นให้เป้นรูปตัววี แล้ววางตัวลงนอนราบท่าเตรียมเหมือนเดิม ให้คุณทำ 10 ครั้งต่อเซต ทั้งหมด 3 เซต

4.ท่า Plank เป็นอีกท่าหนึ่งที่ช่วยลดพุงและหน้าท้องได้ดี เพราะเป็นการบริหารร่างกายทุกส่วน โดยเฉพาะตรงแกนกลางลำตัว ทำให้ทุกส่วนของร่างกายแข็งแรง และได้กล้ามเนื้อด้วย ขั้นแรกให้คุณนอนคว่ำก่อน แขนแนบลำตัว แล้วเอาศอกตั้งขึ้นฉาก เหยียดเท้าให้ตรง แล้วยันตัวของคุณให้พ้นจากพื้น โดยให้ตรงหลังและเข้าเหยียดตรง ค้างไว้ 30 วินาที หรือหากทำมาสักระยะหนึ่งแล้วค่อยๆ ขยับจาก 30 วินาทีเป็นหนึ่งนาทีหรือเวลามากว่านั้นก็ได้

5.ท่า Crunches เป็นท่าที่ลดพุงได้ดีอีกท่า คล้ายกับการเล่นซิตอัพ แต่เป็นการยกตัวแค่ช่วงบน เพื่อให้หน้าท้องแข็งแรงพุงยุบ ท่านี้นอนหงานราบกับพื้นก่อน มือประสานกันที่ท้ายทอยวางใต้ศรีษะ แล้วชันเข่า ให้คุณยกมือและศรีษะขึ้นพร้อมกัน เกร็งหน้าท้อง แล้วค่อยวางตัวราบท่าเตรียมทำ 3 เซตๆ ละ 10 ครั้ง

ข้อมูลจาก : howtoeasy